Sunday, December 12, 2004

ลมหนาว

จะเพราะเป็นเพราะอากาศที่มันเย็นลง หรือเป็นเพราะฤดูกาลที่มันเวียนมาถึง ยามที่มันถึงคราว ฉันก็ไม่รู้ได้ พักนี้ อาการอ่อนๆ ไหวๆ ในหัวใจมันชักจะมากขึ้นทุกที จนฉันชักจะเกลียดตัวเอง ไม่ชอบกับเวลาที่ตัวเองรู้สึกอะไรแบบนี้ ถึงฉันจะรู้ว่า ฉันยังเป็นคน ฉันยังมีความรู้สึก เมื่อเจออะไรที่มาซ้ำๆ แต่จริงๆ แล้วให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบเวลาที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย

ฉันเคยอยู่ของฉันดีๆ ชีวิตฉันมันตัวคนเดียวมานาน ไปไหนมาไหนรึก็ออกจะสบายใจ อยากไปฉันก็ไป เรื่องเดียวที่ฉันห่วงก็มีแค่เรื่องงาน ฉันไม่ชินกับการมีใคร ไม่ว่าจะเป็นแบบชั่วคราวหรือถาวรมานาน ฉันชินกับการอยู่คนเดียวของฉันมากกว่า โลกของฉันมันไม่มีอะไรมาก ปกติแล้วฉันมักพอใจกับหนังสือดีๆ ถูกใจสักเล่ม แค่นั้น ฉันก็มีความสุขมากมายแล้ว แต่ตอนนี้ ยามที่ลมหนาวมันพัดผ่านมา ใจฉันมันไม่ชินเลย รู้สึกว่าอ่อนไหว sensitive กับอะไรๆ ง่ายเสียจนฉันอยากถีบตัวเองวันละหลายๆ หน แค่นิดแค่หน่อย ก็อย่างที่เคยเจอมา แต่ใจมันไม่อยู่เฉยๆ ได้เหมือนทุกครา เรื่องธรรมดาที่ฉันควรเฉยได้แท้ๆ ฉันกลับเอามานั่งน้อยใจ แอบเคืองอยู่หน่อยๆ จนเผลอปล่อยท่าทีที่มันไม่ควรจะทำไป มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบเอาเสียเลย กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่ในตัวในใจฉันเนี่ย จนบางทีฉันอยากจะตบกบาลตัวเองนัก หนอยแน่ะ อยู่คนเดียวมาได้ตั้งนมตั้งนาน กระแดะอะไรจะมาไหวหวั่นมากมายนักหนา น้อออออ


ฉันไม่อยากเป็นคนอ่อนแอ ไม่อยากต้องรู้สึกอ่อนไหว อ่อนแอแบบนี้ ฉันเกลียดเวลาที่ตัวเองไม่เป็นตัวของตัวเอง เฮ้ออ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เอาเป็นว่าขอโทษลมโทษฟ้าที่ทำให้ใจมันหวั่นแล้วกันนะ เฮ้อ



Saturday, December 04, 2004

เมืองบาป (ต่อ)

กลับมาอีกที เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อสักสองสามวันมานี้เองว่า ฉันทิ้ง blog ของตัวเองให้แมงมุมยึดครองเสียแล้ว ดูสิเล่า หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมดแล้ว อนาถตัวเองจริงๆ เหตุที่ห่างหายไปนานมากคงจะเรื่องงาน (ดูจะเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ฉันไม่ค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ได้) อืมม แล้วฉันจะอารัมภบทอะไรให้ยืดยาวละเนี่ย งึมๆ งำๆ จริง ๆวันนี้อารมณ์ดี หัวใจมันดี๊ด๊ายังไงพิกล เหมือนมีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้นมา แต่อันนี้ช่างมัน ขอโยนอารมณ์ดีๆ ทิ้งไปก่อนดีกว่า เรื่องของสาว ๆเมืองพัทยาที่ฉันติดไว้คราวโน้นนนน แหละนะ


ชีวิตสาวบาร์ที่นี่ก็ใช่ว่าจะสบายนะ ไอ้การยอมเอาพลีกายตัวเองแลกเงินเนี่ย มันใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ล่ะ (อันนี้ฉันคิดเอาเองนะ เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน) แรกเมื่อฉันมาอยู่ที่นี่ใหม่ บอกตามตรงเลยคือว่า ฉันรับกับสภาพที่เห็นไม่ได้เท่าไหร่ ฉันจะกลายเป็นคนไว้ตัว ถือตัวอย่างมาก ไม่ค่อยจะโอภาปราศัยกับบรรดาลูกค้าสาวๆ ของฉันเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่หน้าที่การงานของฉันที่นี่มันก็จำเป็นที่จะต้องเอื้อประโยชน์ให้ซึ่งกันและกัน แต่ด้วยความถือตัว หรือทิฐิของฉันนี่แหละ (ฉันคิดว่าใครอื่นคงเป็นอย่างฉันเหมือนกัน) ทำให้เป็นอย่างนั้นในช่วงแรกๆ สักพักพอฉันปรับตัวได้บ้าง ฉันเริ่มจะมองอะไรต่างไป โลกของฉันมันกว้างขึ้นกว่าเดิมบ้าง เลยยอมเปิดใจ พูดคุยกับสาวๆ เหล่านั้นมากขึ้น จนได้เรียนรู้อะไรๆ หลายอย่าง แต่จะเรียกว่ารู้จนหมดคงไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ไปทดลองด้วยตัวเอง แหะๆ


จากการพูดคุย แอบเก็บข้อมูลของหลายๆ คน ฉันพอจะสรุปได้คร่าวๆ ถึงสาเหตุของสาวๆ เหล่านั้นที่ยอมมาทำงานบาร์ หรือให้เรียกอีกทีว่าสาวขายบริการ หรือจะเรียกแบบตรงๆ ไปเลย คงไม่พ้นคำว่าโสเภณี เพราะอย่างที่ฉันว่าข้างบนนั้นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกนะ กับการที่จะต้องไปมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รักชอบ แต่หากเพื่อเงิน หลายคนหลากความคิด หลายสาเหตุ หลากเหตุผล ลองมาฟังเหตุผลของสาวๆ แถวนี้กันหน่อยไหม เอาเฉพาะหลัก ๆแล้วกัน ส่วนเรื่องสาเหตุอื่นๆ ที่มีเพิ่มมาขึ้นทุกที ฉันจะว่าอยู่ในตอนท้ายๆ นี่ด้วยเหมือนกัน


** เรื่องเงิน สาเหตุแรกสาเหตุหลัก สาเหตุใหญ่ คงไม่พ้นเรื่องนี้ สาเหตุนี้สาเหตุเดียว เรายังสามารถแยกแยะออกเป็น sub ย่อยต่างๆ อีกหลายประการ อย่างว่า เรื่องเงินเรื่องใหญ่ แต่สาวๆ แถวนี้บอกอกเล็กเรื่องใหญ่ (กว่า)นะ ชักนอกเรื่องแฮะ กลับเข้ามาดูเรื่องสาเหตุนี้ต่อดีกว่า

- มาทำงานเพื่อหาเงินใช้หนี้ อันนี้เป็นสาเหตุยอดฮิตของการมาทำงานที่พัทยา (หรืออาจจะเป็นที่อื่นๆ ป่าตองภูเก็ต เกาะพีพี กระบี่ หรือเชียงใหม่ หรือบาร์ญี่ปุ่นแถวพัฒน์พงษ์) หลายต่อหลายคนที่ต้องยอมมาทำงานขายตัวแลกเงิน ก็เพราะหนี้สินที่ทั้งที่ตัวเองเป็นคนก่อ และไม่ใช่คนก่อ โดยมากมักจะเป็นหนี้สินของครอบครัว หลายรายมีปัญหาเรื่องเงิน เรื่องที่จะโดนยึด ที่บ้านไม่มีเงินใช้หนี้ ฯลฯ สารพัดสารเพ กับปัญหาหนี้สินต่างๆ ที่แต่ละคนจะเจอ แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งก็ว่างั้นเหอะ เมื่อมีหนี้ แต่ไม่มีเงินใช้ เวลาใช้เงินก็งวดเข้ามาทุกที ทำอย่างไรดีละ เหลียวซ้าย แลขวา หาที่พึ่งไม่ได้ เงินกู้หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เอ้ย เงินทุนหมู่บ้านก็ใช่จะได้ง่ายๆ ธกส.หรือ หนี้เก่ายังไม่หมดเลย ทางเลือก (ที่ตอนนั้นคิดว่าเป็นทางเลือกสุดท้าย) ที่พวกเธอเลือก ก็ไม่พ้นขายตัว เพราะจะมีงานที่ไหน ที่สามารถทำเงินจำนวนมากๆ ด้วยระยะเวลาไม่นาน ด้วยเพราะถ้ามาทำงานบาร์แล้ว เงินรายได้ที่จะได้กันเดือนหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นบาท (นี่อย่างต่ำนะ) บางคนเจอแขกจ่ายเงินดีๆ อาจจะได้หลายหมื่น หรือเผื่อฟลุคเจอคนรักจริง เขาแต่งงานด้วย ปลดหนี้ให้ก็มี

- สาเหตุย่อยเรื่องเงินเรื่องที่สอง ไม่มีเงินเลี้ยงลูก ไม่มีเงินดูแลครอบครัว (อันนี้ฉันเองก็สงสัยอยู่ว่าแต่ก่อนมันอยู่กันอย่างไรหว่าถึงอยู่กันได้โดยไม่ต้องใช้เงินมากมาย แต่ก็ช่างเหอะ) บ้างเลิกกับสามี บ้างโดนสามีทิ้ง ไม่มีเงินดูแลลูก ไม่มีเงินส่งเสียให้ครอบครัว ตัวเองก็จำเป็นต้องทิ้งถิ่นฐานมาขายเรือนร่างกินแถวพัทยา หรือแถวอื่นที่ target ลูกค้าเป็นชาวต่างชาติก็ว่ากันไป ส่วนใหญ่ที่เจอมักจะเป็นสาวที่มาจากภาคอีสานกันทั้งนั้น มีบางคนเคยคุยให้ฉันฟังว่า มีแฟนส่งเงินให้ใช้เดือน 4 หมื่นบาท อยู่สองคน แต่เท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ เพราะต้องเลี้ยงคนทั้งบ้าน ลูกสองคน พ่อแม่ และรวมถึงพี่ชาย (ฟังแล้วฉันรู้สึกประหลาดๆ ยังไงพิกล เลี้ยงลูกที่ยังเล็ก กับพ่อแม่ที่แก่เฒ่าน่ะพอฟัง แต่เลี้ยงพี่ชายด้วยนี่ ฟังแล้วน่าคิดน้อยเมื่อไหร่ล่ะ จริงไหม) ฉันเจอสาวๆ ที่เขามาทำงานที่นี่ด้วยสาเหตุนี้พอสมควร แต่ไม่มากเท่าการหาเงินเพื่อใช้หนี้

- อีกสาเหตุหนึ่งที่ฉันเจอ ทำเอางงๆ ไปเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าจะมีอย่างนี้ด้วย เป็นสาเหตุเรื่องเงินที่ทำเอาฉันอึ้ง ทึ่ง และเหวอไปนานกว่ากับเหตุผลข้อนี้ เพราะสาวเจ้าคนที่ฉันเจอ บอกฉันว่า "หนูมาหาค่าเทอมพี่ พอได้ค่าเทอมแล้วหนูก็จะกลับไปเรียนต่อ" .........O_o'' ฉันได้โอกาสถามหนูแก ว่าทำไมถึงมาทำงานแบบนี้ ท่าทางยังเด็กอยู่เลย ก็ยายหนูคนนี้ เขาผมยังสั้นเท่าต้นคอ เหมือนเด็กเพิ่งถอดคอซองได้ไม่นาน แล้วมาอยู่แหล่งอโคจรแบบนี้เนี่ยนะ มันใช่ที่เสียที่ไหนเล่า ฉันสอบถามได้ความมาว่า ยังเรียนอยู่ม.ปลาย ในจังหวัดใกล้เคียงกับพัทยานี่แหละ พอปิดเทอมหนูแกก็มาหาค่าเทอม ฉันได้แต่นั่งฟังด้วยตาปริบๆ เสียดายเหลือเกิน เสียดายอนาคตเด็ก หรือฉันควรยินดีที่เด็กสาวคนนี้จะได้มีอนาคตการศึกษาที่ดีกว่าเดิมก็ไม่รู้ ฉันยังเจออีกรายหลาย ที่รักดี ส่งเสียตัวเองเรียนต่อไปด้วย พร้อมๆ กับทำงานแบบนี้ไปด้วย สาวๆ เหล่านี้มักจะบอกกับฉันว่า พวกหนูไม่อยากทำงานแบบนี้ไปจนแก่หรอกพี่ พยายามหาเงินเรียน หาความรู้ใส่ตัว วันหนึ่งจะได้ไม่ต้องมาอยู่ตรงจุดๆ นี้อีกต่อไป ....... ฉันยังอึ้งอยู่ดี อาจจะเพราะพื้นฐานฉันเคยเป็นเรือจ้างกับเขาอยู่พักละมัง เลยอดรู้สึกสะท้อนใจกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้


ว่ากันถึงสาเหตุต่อไป ....ประชดชีวิต ประชดความรักที่มีแล้วเคยผิดหวังหรือไม่ได้อย่างใจ ก็ว่ากันไปแล้วแต่เจ้าตัวเขา แต่เท่าที่ฉันเคยคุยเคยถามมา ส่วนใหญ่มักจะประชดความรัก อดีตสามีคนไทย ร้อยละเกือบ 80 มักจะบอกว่า คนไทยนิสัยไม่ดี ขอมีสามีฝรั่งดีกว่า ประมาณว่า ผัวคนไทยมันไม่มี ก็อย่ามีมันเสียเลยจะดีกว่า ถ้าจะมีทั้งทีขอดี ขอรวยกว่าเดิม เป็นต่างชาติไปเลย เป็นซะแบบนี้ ฉันเคยถามเขาเหมือนกันนะ ว่าวิธีประชดแฟนมันมีตั้งร้อยแปด ทำไมต้องเลือกมาขายเนื้อหนังตัวเอง เขาบอกว่า เผื่อจะได้เจอแฟนชาวต่างชาติ มีเงินมีทอง ร่ำรวยเหมือนอย่างคนอื่นๆ บ้าง (อันนี้ค่านิยมตามกัน จะอรรถาธิบายกันต่อไป) บ้างก็บอกว่า เลิกกับสามีก็อายุขนาดนี้แล้ว ความรู้ขนาดนี้จะให้ไปทำงานอะไร ที่จะได้เงินมาดูแลลูกหรือครอบครัว ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่เลือกสาเหตุนี้ จะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานเสียแต่อายุยังน้อย พอมีเหตุต้องเลิกร้างจากสามี ก็มักจะหันเหชีวิตตัวเองมาทำงานกลางคืน กันแบบนี้ บ้างก็ทนความเจ้าชู้เหลือรับของสามีของตัวเองไม่ไหว ก็มักจะคาดหวัง อยากจะมาเจอชาวต่างชาติที่เขาว่ากันนักต่อนักว่า ใจดี รักเดียวใจเดียว ให้เกียรติผู้หญิง สารพัดของอารมณ์อยากได้สามีต่างชาติแหละนะ ผู้หญิงที่มีสาเหตุแบบนี้ ฉันมักจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าการประชดแบบนี้มันไร้เหตุผลสิ้นดี แต่อย่างว่า คนเราเหตุผลต่างกัน ความคิดต่างกัน


อีกหนึ่งสาเหตุ เป็นสาเหตุที่ฉันไม่ใคร่จะชอบใจเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ว่าธุระไม่ใช่ จะไปยุ่งกับเขาก็ใช่ที่ อันนี้จะคล้ายๆ กับการตกเขียวทางภาคเหนือ เพียงแต่ว่าทางโน้นเขาครอบครัวขายมา แต่ทางนี้เต็มใจขายตัวเอง เพราะเห็นบ้านใกล้เรือนเคียง รุ่นพี่ที่เคยมาทำงานแล้วประสบความสำเร็จ เจอคนรักจริงแต่งงานด้วย กลับมาสร้างบ้านสร้างเรือนกันใหญ่โต มีหน้ามีตาในสังคมชนบท เลยเกิดค่านิยมตามๆ กันมาทำงานในพัทยา คนที่บ้านก็พลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย เหมือนไม่ได้นึกเลยว่า กว่าจะได้เจอคนดี ๆ สักคน มันต้องแลกด้วยสิ่งใดของตนบ้าง เห็นแล้วอดนึกถึงบทกลอนที่เคยอ่าน สมัยยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยภูธรของฉันไม่ได้ ฉันจำเนื้อไม่ได้หมด แต่ท่อนสุดท้ายของบทกลอนบทนั้นสิ "เมื่อไหร่หนอจะมีผัวเป็นตัวตน จะมีใครสักคนถือผ้าดีที่แม่ทอ" มันติดอยู่ในใจฉันมาตลอด สาวๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย กว่าจะมีชีวิตดีๆ ที่ตนปรารถนา มันไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิด น้อยคนนักที่จะเจอคนดีๆ นับแต่แรกที่มาทำงาน แต่คงจะด้วยความทะเยอทะยานอยากที่มีกันอยู่เต็มหัวใจ เลยทำให้สาวๆ หลายคนยอมเลือกวิธีนี้ พี่จูงน้อง เข้ามาทำงานด้วยกัน บางบ้านที่น่าอนาถ ลูกสาวตามแม่ออกมาขายตัว หวังจะมีลูกเขยเป็นคนต่างชาติเหมือนพ่อเลี้ยงตน ฉันไม่เคยเข้าใจกับเรื่องตรงนี้เลย ทำไมหนอ คนเป็นแม่เขาถึงยอมให้ลูกตัวเองมาอยู่ตรงจุดๆ ที่เขาเคยยืน เขาก็รู้ไม่ใช่หรือว่า กว่าจะได้เจอใครสักคนนั้นมันยากนัก กว่าเขาจะมีใครที่รักกัน มันไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆ .....


ลูกค้าที่ฉันพูดคุยด้วยบ่อยๆ นับตั้งแต่สมัยที่เจ้าหล่อนยังไม่มีคนรับเลี้ยงดูจริงจัง นับแต่สมัยที่เจ้าหล่อนโดนแฟนชาวดัทช์ทิ้งมานั่นแหละ เธอมานั่งร้องไห้คร่ำครวญ จนถึงทุกวันนี้ กระทั่งเวลาทะเลาะกันกับแฟนที่เลี้ยงเธออยู่ในปัจจุบันนี้ ด้วยเงินเดือน 4 หมื่นบาทต่อเดือน ไม่รวมค่าที่ที่กำลังผ่อน คนนี้ฉันก็ไม่เคยเข้าใจอีกเหมือนกัน แต่ฉันคาดได้ว่าเพราะความอยากได้ใคร่มีที่คนเรามันมีแบบไม่สิ้นสุดนี่แหละ วันก่อน ฉันเพิ่งจะรับฟังคำพูดเจ้าหล่อน บ่นน้อยใจสามีตัวเองเหลือเกิน น้อยใจวาสนาที่ตกเป็นเมียน้อย แต่ไม่ได้อะไรเหมือนคนอื่นเขา เพื่อนๆ ของเธอมีบ้านหลังละหลายๆ ล้าน หลายๆ คนมีรถยนต์ เธอบอกว่าเธอไม่มีอะไร ทำไมเพื่อนๆที่มาทำงานพร้อมกัน มีกันหมดแล้ว .... ทำไมต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขาขนาดนั้นน้อ ทำไมต้องอยากมีเหมือนคนอื่นเขา มีแค่ของตัวเรา ไม่พอหรือไร





จริงๆฉันว่า ถ้าคนเรามันมีความพอดี ไม่อยากได้ใคร่มีอะไรมากเกินไป ทุกอย่างมันก็คงจะดูง่ายดายกว่านี้สำหรับชีวิตนะ





Thursday, October 07, 2004

ร้อนเหลือเกินแล้วใจ

วันนี้ ตอนนี้ นาทีนี้ อารมณ์ฉันมันกรุ่นเหลือเกิน กับสิ่งที่เพิ่งได้รู้มา อุณหภูมิความรู้สึกมันพุ่งสูง อยากจะฆ่าใครสักคนเหลือเกิน แทบทนไม่ไหว ใจฉันมันร้อนเหลือเกินตอนนี้ มันแน่น มันแปลบในอก น้ำตาปริ่มๆ อยากจะไหลเต็มทน ทำไมหนอคน ทำไมใจร้าย เหมือนไม่ใช่คนแบบนี้


ฉันเพิ่งจะวางสายจากคนที่บ้าน พ่อของฉัน ฉันได้ข่าวไม่ดีมาเกี่ยวกับคนงานที่คุ้นเคยเห็นหน้ากันมานับแต่ฉันยังเด็ก คนใจร้ายคนนั้น ปลดพวกเขาออก ฉันสงสัยเหลือทน ว่า ศีลธรรมของเขาไปอยู่ไหนหมดหนอ แม่หม้ายสามีตาย เลี้ยงดูลูกคนเดียว เงินเดือนแค่ไม่กี่พัน โดนกระแสราชการซัดเสียจนแทบล้ม ให้คนอื่นออกไม่พอ ซ้ำยังโกงกิน กินเท่าไหร่มันถึงจะพอเล่า จะโกยไปถึงไหนถึงจะพอ ตายไปเอาเงินติดตัวไปสักกระผีกได้ไหม โกงกินไปเท่านั้น สบายใจไหมนั่น แต่เขาทำได้ จุดหมายของฉันวันนี้แค่อยากทราบเรื่องราว ว่าทำไม ถึงต้องปลดคนเก่าแก่เคยทำงานด้วยกันมาเป็น 10 ปีออกได้ลงคอ คนใจคดพรรค์นั้น คนที่เพิ่งจะย้ายมาในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ทำอะไรไว้มากมายเหลือเกิน อยู่ที่ไหนถึงจะพอ อยู่ที่ไหนถึงจะดีเล่า ข่าวร้ายที่ฉันได้รับ มันสะเทือนใจฉัน มันเค้นใจฉันจนแทบจะระเบิดออกมาในตอนนี้ น้ำตาคลอๆ ที่รอจะไหลออกมา ด้วยความแค้นแน่นอก พ่อฉันบอกว่า "เจ้าแดง" หมาที่อาศัยที่ทำงานเก่าฉัน โดนยกให้กับรถที่เขามารับแลกหมากับกาละมัง หรือถังน้ำ .............


ฉันไม่เคยคิดเลย คนหน้าซื่อๆ แบบนั้น จะใจร้ายได้แบบนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่เห็นกันจนชินตา กับภาพรถบรรทุกหมาอยู่ในกรง ด้านหลังรถยนต์กะบะ ที่แล่นไปตามหมู่บ้าน ตามที่ต่างๆ พร้อมกับเสียงประกาศของคนขับ ที่พร้อมจะรับแลกหมาด้วยกาละมังเพียง 1 หรือ 2 ชิ้น ชีวิตของหมามันมีแค่นั้นหรือ ฉันทำใจไม่ได้กับสิ่งที่รับรู้มา มันแย่เกินคน "นังแดง" เจ้าหมาอาภัพแสนสวย สีขาวปนน้ำตาลแดง จนเป็นสาเหตุที่ได้ชื่อว่า นังแดง ฉันรู้จักกับนังแดง เมื่อหลายปีที่ผ่านมา 5 ปีได้แล้วกระมัง ตอนนั้นฉันยังไม่ห่างบ้านมาไกลแบบนี้ บ้านฉันอยู่ในแถบหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง บ้านแต่ละหลังหน้าตาเหมือนกันหมด ไม่ได้ต่างกันเลยสักกระผีกเดียว วันที่ฉันรู้จักนังแดงครั้งแรก เป็นวันที่มันโดนทิ้ง ชีวิตมันน่าสงสารนัก โดนเจ้าของทิ้งแทบทุกคราว ครั้งแรกของนังแดง เจ้าของมันย้ายบ้านไป พร้อมกับทิ้งมันไว้ที่บ้านเดิม ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น นังแดงท้อง ฉันกับแม่ รวมถึงคนอื่นๆ ในครอบครัว ได้แต่มองมันด้วยความสงสารจับใจ เจ้าหมาท้องแก่ วิ่งไปมาในถนนในซอยคอยมองหาเจ้าของ แต่ความหวังมันไม่เคยเป็นจริง ความหวังของมันลอยไปไกลทุกที เจ้าแดงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าที่ผุพังไปตามกาลเวลา มีฉันกับครอบครัวคอยให้ข้าวน้ำ ด้วยความสงสาร อยากจะเอาเข้ามาเลี้ยงในบ้านก็จนกำลัง ด้วยเพราะในบ้านฉันตอนนั้นก็มี 8-9 ตัว เลยได้แต่เลี้ยงมันอยู่นอกบ้านพร้อมหาปลอกคอมาสวม ดูแลมันตามสภาพ จนวันที่นังแดงคลอดลูก แต่เป็นวันที่ฝนตก ฉันกับแม่เป็นห่วงมันเหลือใจ ห่วงว่าแม่กับลูกตัวน้อยๆ จะหลบฝนอย่างไร เจ้าตัวน้อยๆ พวกนั้นจะรอดกันหรือไม่ ฉันยอมปีนเข้าบ้านหลังนั้น บ้านที่ไร้คนอยู่ นอกจากหมา ยอมฝ่าทั้งหญ้ารก นาทีนั้น ฉันไม่กลัวอะไรแล้ว ทั้งที่ปกติฉันไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเกรงจะมีงู หรือตะขาบ ฉันพบนังแดงนอนคลอดลูก อยู่ริมๆ บ้าน ฝนกำลังสาดซัดมันอย่างเต็มที่ มันคงไม่รู้จะหลบไปอยู่ไหน ฉันหาเศษสังกะสีแถวนั้นทำเป็นเพิงให้มัน น่าดีใจที่ลูกๆ ของมันอ้วนท้วนทุกตัว เจ้าหมาตัวน้อยๆ ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยว่าชีวิตแม่มันต้องอยู่อย่างลำบากแค่ไหน

นับจากวันนั้น ฉันคอยดูแลมัน จนอาจจะมากกว่าหมาในบ้านตัวเองเสียอีก หาที่กำบังฝน หาข้าวหาปลาให้มัน คอยดู คอยเรียกมัน เวลาลูกมันร้องหา ยามมันออกไปข้างนอก ฉันหลงรักเจ้าตัวน้อยๆ นั่นเต็มใจ จนวันหนึ่งอดีตเจ้านายเก่าฉันย้ายมาอยู่แถวๆ บ้านฉัน พร้อมกับครอบครัว ที่ประกอบไปด้วยสองคนสามีภรรยา โชคดีของนังแดงเหลือเกิน ที่อดีตเจ้านายฉันเขาเป็นคนรักหมา ด้วยลักษณะที่ดีของมัน จะด้วยเพราะความที่ฉันใส่ใจมันตลอดด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาพามันเข้าบ้านไปเลี้ยง นังแดงและลูกๆ มีบ้านคุ้มหัว มีอาหารกินทุกมื้อแล้ว ฉันดีใจกับมัน และยังอดไปเยี่ยมเยือนมันทุกวันตามประสาไม่ได้ แล้วลูกๆ ของมันก็ได้รับการแจกจ่ายออกไปให้คนที่มาขอ คนที่รักสัตว์กันจริงๆ ฉันเฝ้ามองพวกมันอย่างมีความสุข อย่างน้อยมันก็มีที่ให้อาศัย ไม่ต้องไปวิ่งหลบฝนอีกแล้ว..... แต่เพียงไม่นาน ปีเศษๆ หลังจากนั้น อดีตเจ้านายฉันได้บ้านหลังใหม่ เขาจึงย้ายจากไป พร้อมกับครอบครัว และพุดเดิ้ลตัวน้อยๆ ของเขา นังแดงโดนทิ้งอีกแล้ว!? เปล่าหรอก อย่างที่ฉันบอก เขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาไม่พามันไปอยู่บ้านใหม่ แต่เขาพามันไปอยู่ที่สำนักงานของเรา ตอนนั้นพวกเราอาศัยทำงานอยู่ในโรงยิมประจำจังหวัด ด้วยเพราะเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งใหม่ ยังไม่มีที่ทางของตัวเอง เราจึงต้องปรับปรุงสำนักงานในโรงยิมนั้นเอง นังแดงเลยกลายเป็นยาม เป็นหมาสนามไปโดยปริยาย ฉันก็ยังเป็นคนให้ข้าวน้ำมันเหมือนเดิม นังแดงดูเหมือนจะมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ เพราะมีที่ให้วิ่งเล่นได้กว้างเหลือเกิน สนามกีฬาจังหวัดเป็นของมันแล้ว.......


3 ปีที่แล้ว ฉันผันตัวเอง ลาออกจากงานราชการที่ทำอยู่ มาอยู่ที่เมืองบาปแห่งนี้ คราวที่กลับบ้านแต่ละที ฉันมักไปเยี่ยมมันที่โรงยิม รวมถึงต้นปีที่ผ่านมาด้วย ได้พบเจอกับหัวหน้าสำนักงานคนใหม่ ที่มาแทนคนเก่า อดีตเจ้านายฉันย้ายไปที่อื่นไม่นาน เขาก็ไปสู่แดนนิรันดร์ทั้งๆ ที่ยังหนุ่มนัก ฉันคุ้นเคยกับหัวหน้าคนใหม่มานับแต่สมัยที่เรียกเขาว่าพี่ เวลาฉันไปกับพ่อของฉันเยี่ยมเจ้านายเขา วันนั้นนังแดงวิ่งมาหาฉันด้วยความดีใจ ด้วยความคิดถึง ไม่ได้เห็นกันนานนับปี แต่ทำไมสภาพนังแดงที่ฉันเห็นมันโทรมนักเล่า เหมือนไม่ได้อาบน้ำ เห็บหมัดเต็มตัว สังกะตังทั้งตัว เจ้าแดงเอ๋ย ทำไมสภาพเป็นแบบนี้น้อ ฉันไม่เคยคิดเลย ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ฉันได้เจอนังแดงเป็นวันสุดท้าย ฉันวางใจว่ามันมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยดีแล้ว แต่ฉันกลับไม่เคยคิดเลยว่า คนที่ดูแลสถานที่นั้นเป็นสัตว์ในร่างคน ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ทำลงไปได้อย่างไรไม่รู้ ใจคนเราทำไมมันร้ายได้เพียงนี้ ฉันก็ไม่รู้


มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าสัตว์ประเสริฐ มีสติปัญญาเหนือสัตว์อื่นๆ ทั้งปวง แต่ทำไมกริยา การกระทำ มันเลวร้ายกว่าสัตว์นักเล่า ฉันรู้ว่าฉันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ฉันจะเฝ้าคอยสาปแช่งไอ้มนุษย์ใจสัตว์คนนั้นให้ล่มจม!!!


ฉันเชื่อว่าเวรกรรมทุกอย่างมีจริง คนที่ทำแบบนี้ คนที่ไม่ต่างกับฆาตกรแบบนี้ ถึงจะกับชีวิตสัตว์เล็กๆ ที่ไม่เคยทำร้ายใคร ก็นับว่าเป็นคนที่พรากชีวิตจากเจ้าของชีวิตเขาทั้งนั้น คนแบบนี้ ฉันเชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้วคงไม่ตายดี....









สู่สุขคตินะแดงนะ ถึงแกจะเป็นแค่หมา เป็นชีวิตเล็กๆ ที่ไม่มีค่าสำหรับใคร แต่แกก็ยังเป็นสัตว์ที่ไม่เคยคิดร้ายใคร เป็นสัตว์ที่รักใครแล้วรักจริง..





Saturday, October 02, 2004

City of Bars *~* เมืองบาป (1)

ฉันตั้งท่าจะ update มาหลายวัน นับแต่นึกได้ว่า อยากจะเขียนเรื่องอะไรคราวนี้ ถือว่าค่อนข้างจะแปลกสำหรับตัวฉัน เพราะปกติแล้วฉันไม่เคยจะนึกว่าจะต้องเขียนอะไร ถึงเวลาลงมือเขียนนั่นแหละ ฉันถึงจะนึกเรื่องและเขียนออกมาได้ แต่คราวนี้ถือว่าแปลกหน่อย เพราะฉะนั้นคงจะค่อนข้างยาวด้วยล่ะนะ เดิมที ฉันตั้งใจไว้นานแล้วล่ะว่าจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับสาวๆ เมืองพัทยา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เขียนสักที ตั้งท่าเงื้อๆ ง้าๆ มานานหลายเดือนวันนี้ สงสัยฤกษ์จะดี (ตอนที่เขียนอยู่นี้เป็นครั้งที่สองหลังจากที่ 3 หน้าที่เขียนไว้หายไปด้วยความเลินเล่อของตัวเอง) เอาเหอะ เขียนใหม่ก็ได้ (แต่เสียดายชะมัด)
งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ ว่าฉันจะเล่าอะไรเกี่ยวกับพัทยาบ้าง


ปกติแล้ว ถ้าหากถามถึงพัทยา คุณๆ จะนึกถึงอะไร ทะเล? สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย หรืออะไรทำนองนี้หรือเปล่า หากเป็นฉันเมื่อก่อนที่จะมาปักหลักอยู่แถวนี้ ความคิดของฉันก็ไม่ต่างจากนี่ไปเท่าไหร่นักหรอก ฉันนึกถึงหาดทราย สายลม ทะเล คลื่นลม ดาวที่พราวเต็มฟ้าในยามค่ำคืน จินตนาการคนเรามักไปไกลกว่าสิ่งที่เราคิดเสมอๆ แต่หากเมื่อมาประสบเข้าจริงๆ สิ่งที่ฉันคิด ไม่ใช่ว่ามันผิด เพียงแต่มันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง หากเป็นตอนนี้ ปัจจุบันนี้ ฉันอยากจะบอกว่า พัทยาไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติเลย ฉันร่ำๆ อยากจะบอกว่า มันเป็นสถานที่ใดที่หนึ่งในต่างประเทศที่ไม่ใช่ประเทศไทยเสียอีก ด้วยว่ามันกอปรไปด้วยสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ เสียจนฉันไม่คิดว่า ที่แห่งนี้มันจะเหมาะกับเมืองไทย เป็นเมืองแห่งสถานเริงรมย์โดยแท้เลยล่ะคุณ คุณๆ ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ที่นี่เหมือนกับฉันก็ได้ แค่มาเห็นมามีโอกาสได้เดินสำรวจแถวนี้ คงจะเห็นดีกับฉันเป็นแน่ ใจจริงฉันอยากพิสูจน์ด้วยภาพนะ แต่จนใจ blog เจ้ากรรมมีปัญหากับการโพสรูป ฉันเองก็ใช้ไม่ค่อยจะเป็นเท่าไหร่ มะงุมมะหงาหราอยู่นานกว่าจะโพสรูปพร้อมกับข้อความได้ แต่อนิจจาเจ้าโปรแกรมช่วยเสริมที่ใช้กับการโพสรูปใน blog นี้โดนลบหายเกลี้ยงเมื่อครั้งฉันต้องลงเครื่องใหม่ เนื่องจากมีคนซุกซนไปเที่ยวเวปอย่างว่ามากไปหน่อย ฉันเลยพลอยได้อานิสงส์กับเขาไปด้วย


เชื่อหรือไม่ว่า ในพื้นที่ของพัทยานี้ ไม่ว่าจะเป็นเหนือกลางใต้ หรือโดยเฉพาะใต้ค่อนๆ ไปหากลางแบบที่ฉันอยู่ทุกวันนี้จะเต็มไปด้วยบาร์เบียร์ ทุกแห่งทุกหนของพัทยา คุณลองไปเถอะ ไม่ว่าจะเป็นซอกเล็กซอยน้อย ถนนใหญ่หรือเล็ก มันเต็มไปด้วยบาร์เสียทั้งนั้นแหละ จะเดินไปไหน หรือจะขับมอไซด์ หรือรถยนต์ บาร์เบียร์มีให้คุณเห็นได้ทุกที่ เป็น city of bar จริงๆ เลยล่ะ ฉันถึงบอกว่า บางครั้งก็ลืมๆ เหมือนกันนะเนี่ยว่าตัวเองอยู่เมืองไทย ก็เพราะภาพที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติที่เดินกันขวักไขว่ หรือสัญจรด้วยพาหนะต่างๆ ก็ดี หรือจะเป็นอะไรอื่นๆ ที่ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะกับเมืองไทยเลยจริงๆ ก็ดี แต่สุดท้าย ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พัทยาก็คือส่วนหนึ่งของเมืองไทยอยู่ดี


ฉันจะเริ่มต้นที่ธุรกิจอันดับหนึ่งของพัทยา Bar Beer บาร์เบียร์ที่นี่ถือว่าเป็นที่นิยมกันมากจนถึงมากที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่เห็นแต่บาร์และบาร์กันขนาดนี้หรอกน่า จะเพราะรายได้ดี หาเงินง่าย ค่าใช้จ่ายน้อยหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ การทำธุรกิจบันเทิงแบบนี้เป็นที่นิยมกันมากมาย มีคนลงทุนกันทำมากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือเทศ ต่างก็เป็นเจ้าของกิจการประเภทนี้กันถ้วนหน้า แต่บาร์เบียร์ที่พัทยาเนี่ยไม่เหมือนที่อื่นๆ ของไทยเราหรอกนะ มันไม่ใช่เพียงบาร์เบียร์ธรรมดา แต่ในสายตาฉัน ฉันมองว่ามันเป็นแหล่งค้าประเวณีอีกรูปแบบหนึ่งต่างหาก ที่ฉันบอกว่าไม่เหมือนกับที่ไหน ๆเพราะบาร์เบียร์ที่นี่ จะมีสาวๆ หุ่นดี เซ็กซี่ หน้าตาดีบ้างไม่ดีบ้าง ทำหน้าที่ประจำที่บาร์คอยดูแลต้อนรับชาวต่างชาติที่มาเที่ยวกัน ส่วนใหญ่แล้วหน้าบาร์มักจะมีป้ายรับสมัครงานติดกันไว้ ว่า "รับสมัครสาวสวย หุ่นดี รายได้ดี เงินเดือน(อันนี้จะเขียนตัวเล็กๆ) 2,500 - 3,000 บาท" อ้าว ถ้ารายได้ดี แล้วเงินเดือน 2-3 พันบาทนี้นับว่าเป็นรายได้ที่ดีได้อย่างไร จริงๆ แล้วรายได้ของสาวๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากเงินเดือนหรอก แต่มาจากค่าตัวต่างหาก เพราะลำพังเงินเดือน 2-3 พันบาทนี้ แค่หักค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแต่ละเดือนก็แทบไม่เหลือแล้ว แล้วสาวๆ เหล่านี้จะเอาอะไรกินล่ะ ถ้าไม่มีรายได้จากการเอาตัวเข้าแลก ขณะที่บาร์ส่วนใหญ่มีรายได้จาก ค่าเครื่องดื่ม Drink และอีกส่วนหนึ่งมาจาก ค่าธรรมเนียมบาร์ (Bar Fine) ที่ได้จากสาวๆ ที่ฉันว่าๆ อยู่นี่แหละ ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากค่าเครื่องดื่มบ้าง ค่าออฟที่หักจากสาวๆ แต่ละคนบ้าง ค่าออฟ และค่าธรรมเนียมบาร์นี่แหละจะเป็นส่วนที่ฉันกำลังจะร่ายต่อจากนี้นี่แหละ


อย่างที่บอกไปแล้วว่า บาร์ส่วนใหญ่ในเขตพัทยา เขาจะมีรายได้หลายทาง แต่ดูเหมือนที่ได้กันเป็นกอบเป็นกำนอกเหนือจากค่าเครื่องดื่มก็คือ ค่าธรรมเนียมบาร์ ฉันจะเรียกสั้นๆ ตามสาวๆ แถวนี้เขาเรียกว่า "ค่าบาร์" แล้วกัน ค่าบาร์ ฉันเข้าใจว่า น่าจะเหมือนๆ กับค่าธรรมเนียมสถานที่ของสถานประเวณีอื่นๆ อย่างเช่นอาบอบนวด มีค่าชั่วโมง อะไรทำนองนั้นกระมัง สาวๆ แถวนี้ก็เช่นกัน นอกจากจะมีค่าตัวแล้ว ยังต้องมีค่าบาร์อีกต่างหาก เมื่อมีหนุ่มคนใด สบตาถูกชะตา จนอยากจะพากันไปเที่ยวค้างคืน หรือไปไหนต่อไหนกันตามสะดวกเขาแล้วละก็ หนุ่มคนนั้น ก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสถานที่ให้กับเจ้าของบาร์ หรือมาม่าซังที่ทำงานคุมสาวๆ อีกชั้นหนึ่งต่อไป คาดว่า คงจะพอนึกภาพกันออกบ้างแล้ว แต่ค่าบาร์ยังไม่หมดคำจำกัดความแค่นี้ แต่เหมือนยังเป็นค่าธรรมเนียมที่ยึดตัวสาวๆ ไว้ด้วย ใช่ว่าจะเป็นหนุ่มๆ ฝ่ายเดียวที่ต้องจ่ายค่าบาร์ให้กับสาวๆ แต่ตัวสาวเจ้าเองก็ต้องจ่ายด้วยเช่นกันในบางกรณี โดยมาก สาวๆ ที่ทำงานตามบาร์ส่วนใหญ่มักจะมีวันหยุดกันได้ไม่เกินเดือนละ 2 วัน หากนอกเหนือจากนั้น หรือหากอยากจะหยุดพักผ่อนหรือไปไหนๆ ก็ต้องจ่ายค่าบาร์ เพื่อเป็นการซื้อเวลาให้ตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็จะโดนหักเงินเดือน ซึ่งกรณีอย่างหลังนี้ร้ายแรงกว่าการจ่ายค่าบาร์เสียอีก ส่วนใหญ่ ค่าบาร์ของบาร์โดยมากแล้ว ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 200 - 250 บาท ต่อ 1 คืน เพราะฉะนั้นเห็นไหมเล่าว่า รายได้จากค่าบาร์จะมากขนาดไหน


ย้อนกลับมาเรื่องหนุ่มๆ สาวๆ กันอีกสักหน่อย ในเมื่อต้องเสียค่าบาร์กันแบบนี้แล้ว ถ้าเกิดว่า เขาถูกใจไปไหนต่อไหนกัน หรืออยู่ด้วยกันนานๆ เล่าจะทำอย่างไร มิต้องเสียค่าบาร์กันแย่ฤ แรกดูท่าก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ค่าบาร์เดือนหนึ่งๆ ของสาว 1 คน ไม่ต่ำกว่า 6 พันบาทไทย ไม่รวมค่าตัวที่ไปตกลงกันต่างหาก ค่าตัวนี้ไม่เกี่ยวกับบาร์ ของผู้หญิงล้วนๆ บางคนได้แขกยาว ค่าตัวก็สบายไป นั่นแหละอย่างหนึ่งถึงบอกว่า รายได้ส่วนใหญ่ของสาวๆ เขาจะได้กับค่าตัวกันมากกว่า ค่าตัวก็แล้วแต่เขาจะตกลง ถูกใจกันที่เท่าไหร่ วันละเท่าไหร่ก็ว่ากันไป บางคนได้แขกดี ใจป้ำ กระเป๋าหนัก อันนี้ก็ดีไป แต่บางคนเจอแขกขี้เหนียว ให้ราคาไม่เหมือนกับที่ตกลงกันแต่แรกเริ่ม อันนั้นก็ซวยไป เปลืองตัว เปลืองแรงกัน แต่ได้ค่าตอบแทนไม่คุ้ม ฉันเคยนั่งคุยกับสาวๆ พวกนี้เป็นนาน เรื่องที่เขาไปแขก เกือบทั้งหมดที่เคยถาม เขามักเต็มใจเล่าให้ฟังกันทั้งนั้น ส่วนเรื่องสาเหตุการมาทำงานพวกนี้ ฉันค่อยเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะ ตอนนี้เรากลับมาที่เรื่องค่าบาร์กันต่อเสียก่อนดีกว่า สาวๆ หลายคนเกิดความรักกับหนุ่มต่างชาติกันด้วยเหตุนี้ จากการที่อยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ หลาย ๆคู่ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน หลายคู่ตกหลุมแห่งแรงเสน่หา จนทำให้ติดต่อกันเรื่อยมา นับว่าเป็นแฟนกัน เป็นคู่รักกัน แต่สาวเจ้าก็ยังทำงานอยู่นะ เมื่อคู่รักของตนจะกลับมา จะทำอย่างไรดีเล่า ถึงจะไม่ต้องเสียค่าบาร์กันมากมายมหาศาลเช่นเดิม แบบนี้ก็มีทางออกนะเออ ใช่ว่าจะไม่มี เพราะปกติแล้ว พัทยาจะคึกคักที่สุดก็ ช่วง high seaon หรือหน้าทัวร์ ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายนเป็นต้นไป ก็เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่มักหนีหนาวกันมาช่วงนั้นพอดี แล้วแต่ละคนมา นี่ก็ใช่ว่าจะน้อยๆ วันนะ อย่างต่ำก็ 3 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะฉะนั้นหากว่า แฟนของสาวๆ เหล่านั้นกลับมา แล้วยังต้องเสียค่าบาร์กันแพงๆ อีก เห็นทีจะไม่ดีแน่ ก็มักจะมีสูตรสำเร็จในการเลี่ยงค่าธรรมเนียมบาร์กัน คือ การซื้อตัวออก !!! ด้วยเงินเพียง 3-4 พันบาท ก็เท่ากับว่า สาวคนนั้นลาออกจากการทำงานที่บาร์นั้นๆ แล้ว แถวนี้จะไม่มีการลาออกกัน ส่วนใหญ่จะออกจากงานต้องซื้อตัวออกเท่านั้น นัยว่า ถ้าลาออกเฉยๆ เมื่อออกไปแล้ว เกิดอยากจะกลับมาทำงานที่เดิม จะไม่ได้ แต่ทั้งนี้การซื้อตัวออกก็เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจของเจ้าของบาร์ และมาม่าซังเท่านั้นแล




เฮ้อ งงกับตัวเองจริงๆ ฉัน ใช้เวลาเขียนคราวนี้นานกว่าทุกครั้งที่เคย สับสนกับถ้อยความ สับสนกับความคิด เอาไว้ต่อตอนต่อไปแล้วกันนะเจ้าคะ





Monday, September 13, 2004

เด็กในวันนี้......

มีเหตุต้องเดินทางไปเมืองชลฯ อีกแล้ว แต่ก่อนจะได้ออกจากบ้านก็ขลุกขลักหลายประการเสียจนร่ำๆ จะยกเลิกการเดินทางเสียงั้น อารามรีบจัด ลืมข้าวของที่เตรียมไว้ไปให้พี่เขาเสียนี่ มารู้สึกตัวอีกที ก็นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่บนรถเสียแล้ว คนเรานี่น้อ พอรีบละก็ ให้เตรียมไว้พรักพร้อมแค่ไหนก็ยังมีโอกาสลืมจนได้สิน่า

ว่าไปแล้วก็เสียดายไม่ได้เอาของที่เตรียมไว้ตั้งหลายวันให้พี่เขาเอง กว่าจะได้เจอคราวนี้ก็ร่วมครึ่งปี การลาจากนี่ ไม่ใช่สิ่งที่พึงประสงค์หรือทำให้รู้สึกดีเลยจริงๆ

อย่างที่ฉันเกริ่นไว้เสียแต่ทีแรก ว่า มันขลุกขลักเหลือกำลัง ครั้นพอขึ้นมานั่งอยู่บนรถ รถเจ้ากรรมก็หวานเย็นเหลือเกิน เดชะบุญยังพอมีที่เป็นรถแอร์ ไม่อย่างนั้น ฉันคงกลายเป็นหมูย่าง หมูอบเสียก่อนจะถึงที่หมาย เบื่อการนั่งรถแบบนี้จริงๆ จากพัทยา ไปถึงเมืองชลฯ กินเวลาร่วมสองชั่วโมง ก็เพราะรถเขาจอดกันเป็นระยะๆ แป๊บก็จอด หน่อยก็จอด คนไม่มีฉันก็ไปหาคนมาขึ้นจนได้ พิรี้พิไรกันเสียจนฉันแอบด่าในใจแรงๆ ไปหลาย ปากดีน่ะฉัน แต่ในใจนะ ขณะที่หงุดหงิดใจกับการใจเย็นและอาการหวานเย็นของรถโดยสารอยู่นั้น ก็เห็นครอบครัวหนึ่ง คงใช้คำว่า ครอบครัวได้นะ เพราะมียาย มีน้า และหลานสาวตัวเล็กๆ อีกสองคน เด็กสองคนที่เห็น ลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คงจะเป็นลูกคนละพ่อละแม่ ไม่ใช่พี่น้องกันเป็นแน่แท้ คนหนึ่งท่าทางอายุน้อยกว่า ไม่เกิน 3 ขวบเป็นอย่างมาก ผิวค่อนข้างขาว เอาเป็นว่าถ้าเทียบกับอีกคนหนึ่งที่อายุมากกว่า ขาวกว่าก็แล้วกัน ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งนั้นผิวคล้ำมากทีเดียว แต่ใส่ชุดสีบานเย็น ฉันมองแบบอื้มม ใครกันน้อ หาเสื้อผ้าให้เด็กใส่ แต่คิดอีกที เด็กวัยนี้ไม่แปลกที่ชอบเสื้อผ้าสีสดใส เด็กขนาดนี้เขาคงไม่ได้มานั่งคิดถึงการแต่งตัวของตัวเอง กับบุคลิกหรอก คงอีกนาน กว่าหนูแกจะโต ทีแรกฉันมองเด็กคนนี้เพราะสะดุดตากว่า (ในสีเสื้อผ้า) สักพัก ผู้เป็นยายได้ที่นั่งด้านหลังฉัน เลยดึงเด็กคนนั้นมานั่งกับแก แต่คนเป็นน้า ได้ที่นั่งเยื้องๆ จากฉันไป ฉันเลยได้มองเด็กตัวเล็กกว่าเต็มๆ ตา ที่ต้องมองเต็มๆ ตา เพราะเสียง !!!

ปกติแล้ว เวลาฉันโดยสารรถประจำทาง ฉันมักจะนั่งเฉยๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง หรือไม่ก็หลับเสียมากกว่า ใครเดินผ่านเข้าออก ฉันก็มองบ้าง แล้วก็จบ แต่วันนี้ไม่เหมือนวันปกติของฉัน มันเป็นวันอปกติโดยแท้ เสียงที่ดึงความสนใจของฉันได้ชะงัดนัก คือ เสียงกรีดร้องของเจ้าตัวน้อย ฉันจึงหันไป พร้อมกับภาพและเสียงที่ได้ยินแล้วนั่งอึ้งอยู่นานสองนาน ผู้เป็นน้าพยายามจับตัวหลานให้มานั่งด้วย แต่หนูน้อยคนนั้นสะบัดตัวหนี พร้อมกับพูดว่า "อย่ามายุ่งกับกรู"

O_o'' ฉันนึกในใจ เอ้ย นี่มันผู้ใหญ่ในร่างเด็กหรือเปล่าเนี่ย ทำไม เด็กแค่เนี้ย วัยที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนแน่ๆ ถึงพูดจาหยาบคายได้ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพียงภาษาพ่อขุนที่เด็กคนนี้ใช้ หลังจากแผลงฤทธิ์อยู่พักใหญ่ ฉันได้ยินสัตว์เลื้อยคลาน ตระกูลที่คนไทยเรามักจะบอกว่า เป็นสัตว์อัปมงคลออกจากปากหนูน้อยคนนี้มาหลายคำ ฉันยังงงๆ พร้อมกับอึ้งๆ หลังจากนั่งคิดอยู่พักใหญ่ หากเด็กคนนี้โตพอจะเข้าโรงเรียน ฉันคงพอจะเดาได้ว่า คำหยาบเหล่านี้มาจากเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เพราะเด็กร้อยพ่อพันแม่ มาจากที่ต่างๆ ปนเปอยู่ด้วยกัน แต่นี่ไม่ แล้วทางไหนเล่าที่เด็กน้อยคนนี้จะเอาคำพูดพวกนี้มา นึกๆ ไปแล้วคงไม่พ้นครอบครัว มันทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ครอบครัวนี่เป็นเบ้าหลอมเด็กได้ดีแท้ๆ เทียว ถึงแม้จะไม่ได้สอนให้พูด หรือทำ แต่พฤติกรรมผู้ใหญ่ในครัวเรือนเป็นแบบไหน ฉันเดาได้ไม่ยากเลย จากพฤติกรรมของเด็กคนนี้ เด็กในวันนี้ ผู้ใหญ่ในวันหน้า ฉันไม่รู้ ไม่กล้าจะคาดเดา ว่าอนาคตของเด็กคนนี้จะเป็นแบบไหน แอบๆ หวังว่า พอถึงวัยเข้าเรียน โรงเรียนจะกลายเป็นเตาหลอมตัวใหม่ที่ช่วยหล่อให้เด็กคนนี้ต่างจากวันนี้....






ครอบครัว ใครว่าไม่สำคัญเนี่ย ....




Sunday, August 29, 2004

+ W e D D i n G +

ห่างเหิน ห่างหายจากการ update ไปหลายวันอีกแล้ว เหตุผลเดิมๆ ไม่มีอะไรเขียน สมองพักนี้ท่าทางจะไม่ได้ใช้งาน หวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่า สักวัน เซลล์สมองฉันมันจะฝ่อ จนเล็กกว่าอวัยวะบางอย่างในตัว เหมือนที่ฉันชอบเปรียบพวกนักแสดงสาวบางคนนั่นปะไร ก็จริงๆ นี่นา อวัยวะบางส่วนล่ะใหญ่ดีแท้ แต่อ้าปากพูดออกมา พลอยทำให้คิดอยู่เรื่อยเลยว่า สงสัย โปรตีนและสารอาหารอื่นๆ ไปเลี้ยงส่วนนั้นอย่างเดียว ไม่เหลือไปถึงสมอง เวลาเอ่ยวจีอะไรแต่ละความ มันถึงส่ออะไรได้แบบนั้น (ชักปากจัดหรือเปล่าหว่าฉัน) อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย งั้นก็หาเรื่อง update เสียหน่อย ถึงจะเป็นเรื่องส่วนตัวค่อนมากก็เหอะนะคราวนี้ ดีกว่าไม่ได้เขียนอะไรล่ะจริงไหม

จะว่าไปแล้วนะ ฉันน่ะอย๊าก อยากจะเขียน แต่จนด้วยเกล้า ไม่มีเรื่องอะไรจะมาเขียน ขนาดเดินทางกลับบ้าน ไปนอนตีพุงอยู่บ้านเสียหลายวัน แต่ก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไร เฮ้อ จริงๆ น้อคนเรา บทจะตื้อจะตัน นึกให้ตายก็เขียนอะไรออกมาไม่ได้ กว่าจะนึกกว่าจะเขียนได้แต่ละที มันลำบากน้อยเสียที่ไหนเล่าเนี่ย เฮ้อ (อีกที)


ย้อนไปถึงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันหายหน้าหายตาไปจากหน้าจอคอม และคีย์บอรด์อยู่เกือบร่วมสัปดาห์ ทำเอาเพื่อนๆ บางคนพล่าน โทรตามหา เหมือนนึกว่าฉันชีวิตจะหาไม่แล้ว หลายคนจะบอกว่า เหมือนขาดอะไรไปหากไม่เห็นฉันออนไลน์ จริงๆ ฉันก็ลืมๆ ไปเหมือนกันว่า ตัวเองน่ะเป็นโปรแกรมแถมมากับโปรแกรมสื่อสารชนิดหนึ่ง ใครมาไม่เจอฉันละเป็นเรื่องแปลก แม่ออนไลน์อยู่วันละ 10 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ฉันกลับบ้านมาน่ะ กลับไปหาแม่ หาครอบครัว รวมถึงไปงานแต่งงานของเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาสมัยยังเป็นสาวรุ่นนั่นแล (ตอนนี้ก็ยังสาวนะ :p) เหมือนเดินสายเยี่ยมญาติกรายๆ ล่ะคราวนี้ เพราะคราวนี้ฉันไปค้างที่บ้านที่อุบลฯ ด้วย จะว่าไปก็แทบไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดกับย่า หรืออา เท่าไหร่ เพราะอยู่แต่ที่อื่นเสียเป็นส่วนใหญ่ บ้านตัวเองยังแทบไม่ได้อยู่เลยนี่นา แต่รู้สึกดีๆ ทุกครั้งที่ไป ความผูกพันแบบนี้อย่างไรเสียก็ตัดไม่ขาดจริงๆ


วกกลับมาเรื่องงานแต่ง เพื่อนสาวฉัน โดนเพื่อนๆ หลายคนเรียกว่า แม่ชี เพราะงั้น คำอวยพรส่วนใหญ่จากเพื่อนๆ จึงมักจะกล่าวในทำนองว่า ในที่สุดแม่ชีก็ออกจากโบสถ์ ด้วยความที่เจ้าสาวค่อนข้างจะเรียบร้อย คอยดูแลเพื่อนๆ ในกลุ่ม จนเหมือนเป็นพี่สาว เป็นแม่ชี ในสายตาของเพื่อนๆ ทั้งหลาย ส่วนเจ้าบ่าว เป็นหนุ่มร่างสูงจากฮอลแลนด์ หรือเนเธอร์แลนด์ เรียกอะไรก็ตามสะดวกเถอะนะ คริสเตียน เป็นผู้ชายที่สูงมากกกกกปกติฉันว่า เพื่อนฉันไม่เตี้ยนะ แต่พอไปอยู่กับคุณแฟนของเจ้าหล่อนเข้า มันแตกต่างกันเหลือขนาดเลยล่ะ กับภาพที่เห็น สูงเกือบสองเมตรได้กระมังสำหรับเจ้าบ่าว ฉันไม่มีโอกาสจะได้ไปร่วมพิธีในตอนเช้า ก็เลยไปในช่วงเย็นกันแทน งานถูกจัดขึ้นในโรงแรมขนาดใหญ่(ที่ค่อนข้างเหลาเหย่) แห่งหนึ่งในตัวเมือง แต่เปล่าหรอกนะ งานไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย มีแขกไปร่วมงานแค่ประมาณ 40 - 50 คนเองละมัง ถ้าคาดจากสายตาที่เห็นไม่ผิด นั่นคือส่วนหนึ่งของงานที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า งานนี้ช่างเป็นงานแต่งที่น่ารักเสียจริง จะด้วยบรรยากาศ หรืออะไรหลายๆ อย่าง ไม่มีพิธีกล่าวอะไรของบรรดาญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องมีคำสรรเสริญเยินยอ ไม่มีคำร่างประกาศเกียรติคุณใดๆ ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีแค่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว และพิธีกรที่แทบไม่ได้ทำอะไร มันทำให้เป็นบรรยากาศที่ไม่น่าอึดอัด ไม่น่าเบื่อ ที่น่ารักไปยิ่งกว่านั้น ได้มีโอกาสเห็นการเต้นรำของชาวดัชท์ คุณๆ จะนึกไหมล่ะนั่น ถ้าหากไปงานแต่งงาน แล้วได้เห็นคนเกาะไหล่เต้นรำกันไปทั่วห้อง ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเจ้าบ่าว แต่ยังมีตัวเจ้าบ่าว และเจ้าสาวเองด้วย รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้สถานที่จัดงานแต่งงานนี้ หรืองานคราวนี้เป็นงานที่มีชีวิตชีวา กระทั่งน้องสาวเจ้าบ่าว ที่ขาเจ็บต้องพึ่งไม้เท้าตลอดเวลา พอได้ยินเสียงเพลงของบ้านเกิด เธอยังลุกขึ้นเต้นร่วมกลุ่มกับเขาเลย ฉันกับเพื่อนๆ หลายคนนั่งอมยิ้มกับภาพที่เห็น แต่ก็อีกหลายคนเหมือนกันที่โดดเข้าไปร่วมเต้นรำกับเขาด้วย ส่วนฉันเหรอ นั่งอยู่เฉยๆ จะดีกว่ากระมัง แถมยังได้โอกาสถ่ายรูปมาหลายด้วย ^^


คงจะต้องบอกว่า เป็นงานแต่งงานอีกงานหนึ่งที่ฉันประทับใจ มันน่ารัก ไม่เยิ่นเย้อ ไม่น่าเบื่อ ไม่ต้องรอฟังแขกผู้มีเกือก เอ้ย! เกียรติทั้งหลายกล่าวเท้าความถึงสมัยบ่าวสาวยังแบเบาะ ไหนจะมีการเต้นรำอีกล่ะ น่ารักจริงๆ เพื่อนๆ ของฉันกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า งานแต่งงานของเพื่อนเราคราวนี้น่ารักมาก ถึงจะขาดดุลย์ให้ต่างชาติไปอีกหนึ่งก็ช่างเหอะ ความสุขมันสำคัญกว่าอะไรๆ นี่นา







บางทีเราค้นหามาชั่วชีวิต หรือใช้เวลานานแค่ไหน เราก็ไม่สามารถเจอความสุขแบบที่เราต้องการได้ แต่สำหรับบางคน หลังจากที่ผ่านอะไรๆ มา ได้มาเจอความสุขแบบที่ตนต้องการ มีหรือจะไม่คว้าไว้ บางที บางช่วงเวลา ความสุขไม่ได้มีให้เราซื้อหาได้ตามร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไปหรอกนะ จริงไหม


Tuesday, August 17, 2004

มักง่าย

ห่างหายจากการ update blog ไปหลายเพลา จะด้วยเพราะไม่มีอะไรเขียน เพราะมันตันๆ ตื้อๆ คิดอะไรก็ไม่ออกอีกแล้ว หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ หรือเพราะสับสน งงๆ หว่า


วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีโอกาสไปเยือนเมืองชลฯ หลังจากที่อยู่จังหวัดนี้มานานหลายปี แต่ฉันมันคนประเภทที่ว่า อยู่ที่ไหนก็ที่นั่น ทำงานมันอย่างเดียว ไม่ค่อยจะมีเวลาไปเที่ยวไหนๆ รวมถึงว่า เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยจะมีเวลาตรงกัน เพราะเวลางานที่มันต่างกัน เลยดูเหมือนว่าเราอยู่คนเดียว จะทำอะไร ก็คนเดียว ไปซื้อของก็คนเดียว อยู่คนเดียวมาจนชิน พอถึงเวลาบอกจะมีใคร ก็ชักยังไงๆ อยู่ เอ้ย นอกเรื่องแล้วฉัน นัยของฉันมันหมายความว่า พออยู่คนเดียวนานๆ เข้า โอกาสจะไปไหนมาไหน หรือไปเที่ยวแถวๆ นี้ไม่ค่อยมีหรอก เพราะทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ แถมตัวเองก็ยังดันเป็นพวกนกฮูกเสียนี่ กลางคืนไม่หลับไม่นอน นอนกลางวัน ตื่นบ่าย อย่างนี้จะหาเวลาที่ไหนไปเที่ยวเล่า ถ้าไม่หยุดงาน แต่ในที่สุด สวรรค์ก็เข้าข้างฉัน ได้ฤกษ์ไปเสียที จริงๆ มีนัดกับพี่สาวคนหนึ่ง หลังจากไม่เจอหน้าแกมาร่วมปี แกเพิ่งจะกลับจากต่างประเทศ พอดีว่าช่วงนี้ปิดเทอมของแก เลยกลับบ้าน การทัวร์ของฉันจึงเริ่มขึ้น

ฉันนัดพี่เขาไว้ 11.30 ครึ่ง เพราะกะว่า จากที่นี่ไปเมืองชลฯ คงสักประมาณชั่วโมงหนึ่ง ไม่น่าจะขาดเกินมากน้อยเท่าไหร่ ที่ไหนได้ ออกจากบ้านสายกว่าความตั้งใจ เพราะโอ้เอ้ไปหน่อย รีบร้อนซ้อนมอไซด์รับจ้างไปขึ้นรถประจำทางที่ปากทาง ทันทีที่ขึ้นไป ได้ที่นั่ง รู้สึกว่ากว่ารถจะออกทำไมมันยื้อๆ ยักๆ อย่างนี้ว้า เมื่อไหร่จะไปๆ เสียที คนยิ่งสายยิ่งรีบ ไหงมาเจออะไรแบบนี้เนี่ย งึมๆ งำๆ บ่นอย่างขัดใจอยู่คนเดียว แต่ไม่กล้าบ่นเสียงดังหรอกนะ คงเพราะฉันไม่คุ้นเคยกับการขึ้นรถโดยสารประจำทางแบบนี้ ปกติเวลาฉันไปไหน ฉันมักขึ้นรถทัวร์ป. 1 ไม่นิยมขึ้น ป.2 ป. 3 หรือป.อื่นๆ เป็นอันขาด ก็ด้วยนิสัยใจร้อนของฉัน มักทำอะไรเร็วๆ อะไรที่ช้าๆ มักเป็นที่ขัดใจฉันนักล่ะ สุดท้ายฉันถึงเมืองชลฯ ตอนเที่ยงกว่าๆ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กับการไปสายของตัวเอง ปกติฉันเป็นคนที่ไม่ชอบคนที่ไม่ตรงต่อเวลาเป็นที่สุด แล้วพอตัวเองเป็นเอง รู้สึกไม่ค่อยดีเลยจริงๆ คราวหน้าถ้าฉันจะไปทัวร์แบบนี้อีกคงต้องเผื่อเวลาขึ้นมาอีกหลาย ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องอารมณ์เสียกับอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงยังต้องได้ชื่อว่าเป็นคนไม่รักษาเวลา ถือว่าเป็นบทเรียนของฉัน ในการเดินทางแบบนี้


พี่เขาพาฉันลัดเลาะ เดินเลียบถนนไปตามที่ต่างๆ ซึ่งตัวฉันเองยังไม่คิดเลยว่า วันนั้นฉันจะเดินอะไรได้ขนาดนั้น กลับมาถึงบ้าน พอบอกใครต่อใครว่า ฉันเดินจากตรงนี้ไปถึงตรงไหน ทุกคนจะอึ้งๆ พร้อมกับคำถามที่ว่า เดินเข้าไปได้อย่างไร ก็ไอ้ตอนเดินรู้ตัวที่ไหนเล่าว่าเหนื่อย เพราะเล่นจอดเป็นระยะๆ เหมือนรถสองแถว เห็นตรงไหน ร่มๆ ก็นั่งพัก ยืนพัก ถ่ายรูปบ้าง พี่เขามีจุดหมายอยากจะพาฉันไปดูทะเล ของเมืองชลฯ เอ ทะเลพัทยาก็มีนะ ทำไมไปถึงเมืองชลฯ เรายังต้องดูทะเลอีกล่ะ เอาน่า ไกด์พาไปแล้ว ฉันก็ตามไป คุยกันไปพลาง เดินไปพลาง มันเพลินดีเหมือนกันนะ มันช่วยให้เราลืมความเหนื่อย เสียแต่ความร้อนนี่ลืมไม่ได้นี่สิ ไม่งั้นคงจะดีกว่านี้ อย่างไรก็ดี วันนั้นสวรรค์ก็ดูจะเป็นใจเหลือเกิน ไม่มีแดดเลย มีบ้างที่อ้าวๆ แต่พอเราเดินมากๆเข้า มันก็ร้อนเป็นธรรมดา กว่าจะถึงจุดหมายในวันนั้น เล่นเอาลิ้นแทบห้อย แต่พอไปถึง แทนที่ความเหนื่อยจะหายไป เปล่าหรอก ทะเลเมืองชลฯ ไม่ได้สวยงาม หรือบรรยากาศดีอะไรเล้ย เพราะภาพที่เห็นเป็นภาพทะเลแห้งๆ เพราะน้ำมันลด แล้วยังมีไม้ปักๆ แสดงให้เห็นว่าเนี่ย "ป่าชายเลน" นะ พี่เขาถึงกับบ่นอุบ ตายแล้วทะเลไม่มีน้ำ คงจะเสียดายเวลา ปนกับความเหนื่อย ที่หยิ่ง ไม่ยอมใช้บริการรถรับจ้างที่เรียกร้องอยู่สองข้างทางระหว่างเดิน ไปถึงแล้วไม่มีอะไร แต่ก็เอาเถอะ ยังได้บรรยากาศทะเล เราหาที่นั่งพักคุยกันเล่นสักพัก จริงๆ ลมมันก็เย็นสบายดีออก นั่งนานๆ มีเผลอหลับได้เหมือนกันนะนั่น ความแตกต่างที่บอกได้คือ กลิ่นของทะเล ที่นั่นกลิ่นของทะเล ไม่สกปรก ไม่คาวจัดเหมือนของพัทยา จะด้วยฉันเป็นคนจมูกดีเกินไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่ฉันแยกแบบนี้ได้จริงๆ ถึงทะเลที่นั่นจะดูไม่สวย ยามน้ำลงแบบนั้น แต่กลิ่นมันให้ความสดชื่นต่างกัน แต่อย่างไรเสีย ดูเหมือนว่า คนไทยส่วนใหญ่จะยังคงติดนิสัยมักง่ายกันเหลือเกิน ฉันมองลงไปดูทะเล แทนที่จะเห็นดินเลน พร้อมกับปูตัวเล็กๆ วิ่งไปมา สิ่งแปลกปลอมที่มันมีให้เห็นอยู่เกลื่อนตา ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไม คนเราถึงมักง่าย ทิ้งของกันลงน้ำ ลงที่แบบนี้ได้
http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F2962428/F2962428-15.jpg
ดูเหมือนว่าจะเป็นธรรมชาติของคนไทยหลายๆ คนที่ทันไหนทันทิ้ง เอาง่ายเข้าว่า โดยไม่ได้สนใจว่าจะมีผลกระทบอะไรต่อใครเท่าไหร อย่างตอนที่ฉันนั่งรถมานั่นปะไร ดูเหมือนว่า จะเป็นกิจการในครอบครัว พ่อคนขับ แม่คนเก็บเงิน ลูกสาวนั่งให้กำลังใจ พร้อมทั้งนั่งกินผลไม้ไปด้วย ดูท่าทางเขาจะ enjoy eating กันดี ด้วยความที่ฉันนั่งด้านหน้า เลยเห็นอะไรๆ ไปเสียหมด ที่ขัดใจฉันนักหนาดูเหมือนจะเป็นนิสัยที่เอาง่ายเข้าว่าของครอบครัวนี้เหลือเกิน ลูกสาวกินผลไม้เสร็จ ทิ้งถุงไว้บนรถ ฝ่ายแม่เห็นไม่งามตา คว้าถุงมา แล้วเปิดหน้าต่างรถโยนทิ้งออกนอกรถไป ใครอยากรับเศษฉันก็เชิญ ใครอยากซวยขับรถตามหลังมาก็ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดฉัน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดอะไรเลยกับการทำแบบนี้ ท่าทางจะทำเป็นนิสัยไปแล้วหรือเปล่า ไม่รู้ ฉันนั่งมองด้วยความรู้สึกแปลกๆ พร้อมกับสงสัยทำไมหนอคนเรา ทำอะไรมักง่ายไม่รับผิดชอบแบบนี้ได้ดีจริงๆ




คนไทยส่วนใหญ่ ไม่รักษาสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ มีเท่าไหร่มันก็ถึงแย่ลงไปทุกที ก็เพราะนิสัยมักง่ายแบบนี้นี่เล่า


Sunday, August 08, 2004

~ S e L F i s H ~





อยาก update มาหลายวัน แต่นึกอะไรไม่ออก ไม่รู้เป็นอะไรพักนี้ ไม่มีเรื่องจะเขียน จับประเด็นมาเขียนไม่ได้ เหมือนคนสมองตื้อไปเสียอย่างนั้น จริงๆ ชีวิตของฉันระยะนี้ก็เหมือนเดิม เรื่อยๆ มีอะไรผ่านเข้ามาให้ต้องคิดอยู่เหมือนเดิม ปัญหาของคนเดิมๆ ที่ไม่เคยสร้างความรู้สึกสบายใจให้ฉันก็วนก็ย้อนกลับมาบ่อยๆ บางทีจนนึกน้อยใจ ฉันไปทำอะไรให้เขานักหนาหรือเปล่า ทำไมเขาจึงปล่อยฉันให้ต้องรับอะไรๆ อยู่คนเดียว ฉันเป็นคนก่อเรื่องนั้นขึ้นมาหรือก็เปล่า แต่เขาปล่อยให้ฉันต้องรับเรื่องนี้เพียงลำพัง บางทีก็แปลกใจอยู่เนืองๆ เขาเคยรักฉันหรือนี่ ทำไมเขาปล่อยให้คนที่เขาเคยรักเป็นอย่างนี้ บางคราฉันก็เสียใจที่ฉันเคยรักเขา ฉันเฝ้าครุ่นคิดเรื่องของเขากับฉัน เรื่องราวเดิมๆ ที่มันเกิดขึ้น ที่มันย้ำมาเป็นฝันร้ายมานานนับปี ทำไมเขาทำกับฉันได้แบบนี้ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ แต่คิดอีกที อาจจะเป็นอย่างที่เขาเคยว่ากับฉันเมื่อหลายปีมาแล้ว คนเราทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น


จะเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาหรือเปล่านะ ที่ทำให้เขาโยนทุกอย่างที่เขาควรจะรับผิดชอบลงที่ฉันคนเดียว วันหนึ่งฉันรู้สึกล้าเหลือกำลัง ฉันนั่งร้องไห้อยู่ร่วม 2 ชั่วโมง พยายามเหลือทนที่จะกลั้นน้ำตาตัวเอง แต่สุดท้ายค่อนรุ่งของคืนนั้นฉันก็ปล่อยโฮเสียเต็มกลั้น ฉันไม่เคยร้องไห้เพราะความเจ็บใจ แค้นใจแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อก่อนน้ำตาที่ฉันมีต่อเขา มันเป็นน้ำตาของความเสียใจ แต่ตอนนี้ เขาคนที่ฉันไม่นึกอยากจะเกลียด กลับทำให้ฉันเกลียดเขาเสียยิ่งกว่าอะไร ฉันเหนื่อยใจเหลือเกินกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ทำไมหนอความเห็นแก่ตัวของคนเรามันถึงทำร้ายกันได้เพียงนี้


ช่างมันเถอะ ชีวิตฉันเคยเป็นของเขา กรรมที่ฉันเคยทำกับเขาเมื่อชาติก่อนกระมัง ฉันถึงต้องยังต้องรับอะไรๆ อยู่แบบนี้ ทั้งๆ เส้นทางควรจะเป็นเส้นขนานกันนานแล้ว แต่กลับไม่ อย่างไรก็ดี ชีวิตมันก็คงต้องเป็นไป วันหนึ่งฉันกับเขาคงไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันไม่ว่าในกรณีใดๆ




ฉันรู้สึกว่า ฉันเห็นความเห็นแก่ตัวของคนมากเหลือเกินในช่วงนี้ โดยเฉพาะเพศชายบางคน คิดแล้วก็นึกสงสารเจ้าน้องสาวคนดีของฉันขึ้นมาจับใจ ชีวิตของเจ้าบัว ดูเหมือนจะโชคร้ายเหลือเกินกับเรื่องความรัก ขึ้นต้นมักจะดี มักจะสวยสดงดงามเกินใครๆ เสมอ แต่พอหลังมา ความรักเจ้าบัวมักพังลงมาอย่างไม่เป็นท่าเท่าไหร่ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เห็นเจ้าบัวต้องเจ็บปวด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าบัวจะค่อยๆ โตขึ้นทีละน้อย บัวของฉันค่อยๆ เผยอกลีบบานขึ้นทุกที ฉันดีใจกับความเข้มแข็ง ความเป็นผู้ใหญ่ที่บัวมีมากขึ้นในแต่ละวัน

ความรักครั้งล่าสุดของเจ้าบัว เป็นฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำใจได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผู้ชายคนนี้ ฉันบอกได้คำเดียวว่า เขาช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเหลือเกิน เขาผู้ซึ่งยังไม่รู้เลยว่า ตัวของเขา ความต้องการของเขาเป็นอย่างไร แต่เขาคิดจะกักน้องสาวของฉันไว้ด้วยคำว่ารักของเขา แปลกนะคนเรา ในเมื่อความต้องการของตนเป็นอย่างไรแน่ไม่รู้ กล้าดีอย่างไร ถึงจะเก็บคนอื่นไว้กับตัว ด้วยเพราะกลัวจะเสียเขาไป ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่า คำว่ารักของเขา มันคือความรักจริงหรือไม่ รู้แต่ว่า มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ความรัก มันเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะเห็นแก่ตัว แต่การทำแบบนี้ ดูจะเป็นการเห็นแก่ตัวที่เกินขอบเขตไปหน่อย ทำไมเขาไม่เลือกเดินสักทาง ทำไมต้องเลือกเส้นทางที่มันบีบคั้น เต็มไปด้วยความบังคับ กักกัน ตัวเขาเองยังหาตัวเองไม่เจอ อย่างนี้นะหรือที่เรียกว่า รัก


ฉันไม่ใช่กูรูด้านความรัก หรืออะไรทั้งนั้น แต่วันเวลา ประสบการณ์ที่ผ่านพบมา มันช่วยให้ฉันเห็นอะไรๆ ได้มากยิ่งขึ้น นึกย้อนไป หากวันนั้นฉันมีความเห็นแก่ตัวมากกว่านี้สักนิด ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชีวิตของฉันจะลงเอยด้วยการไม่มีเขาในชีวิตอย่างนี้หรือเปล่า




รักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ดูเหมือนจะเป็นแค่เพียงฝันละมัง





Saturday, July 31, 2004

วันพระ

 

วันนี้ 31 กรกฎาคม 2547


วันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม เป็นวันเสาร์พอดิบพอดี ถือว่าเป็นวันดีเนอะ เพราะว่า วันพรุ่งนี้วันที่ 1 สิงหาคม จะได้เป็นวันใหม่ วันแรกของการเข้าพรรษาของชาวไทยพุทธเรา เพราะงั้นวันนี้ก็คือวันอาสาฬหบูชานะสิ


จริงๆ ฉันจำไม่ได้หรอก ว่าความสำคัญของวันอาสาฬหบูชานั่นเป็นอย่างไรกันแน่ มันเลือนๆ ลางๆ ในความรู้สึก เอ ฉันชักจะแย่แล้วสินะ คงเพราะห่างวัดห่างวานาน ไม่ได้เข้าวัดแล้วนึกถึงความสงบ หรือความรู้สึกที่เข้าวัดแล้วอิ่มใจมานานแล้ว บอกตรงๆ คือฉันไม่ศรัทธากับวัดที่เป็นพุทธพาณิชย์แบบทุกๆ วันนี้ หรือตามแบบที่ฉันเห็นจนเจนตาแถวนี้เท่าไหร่ เวลาย่างกรายเข้าวัดแบบนี้ทีไร ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไปวัดมาเลยสักครั้ง (หรือฉันคิดอะไรมากไปหรือเปล่านี่ - -")


วันนี้ก็เช่นกัน ฉันตื่นแต่เช้ากว่าปกติ ประมาณ 9 โมงเช้า (เวลาเช้าฉันล่ะ) มาอาบน้ำสระผม แต่งตัวลงมาจะไปทำบุญ เนื่องในวันอาสาฬหบูชานี้ ด้วยเพราะฉันนัดกับเพื่อนไว้ ว่าจะไปทำบุญกัน (กะว่าชาติหน้าคงได้เจอสองคนนี้อีกร่ำไปแน่ๆ) แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม ถ้าเราจะเจอเพื่อนดีๆ ทื่ถึงแม้จะไม่ใช่ดีที่สุด แต่ก็นับว่าเป็นมิตรที่ดีกับฉันเสมอมา เรานัดกันที่ร้านของฉัน แล้วเราก็เดินไปตามซอยเล็กๆ ข้างบ้านฉัน เพื่อจะไปขึ้นรถสองแถวที่ริมหาดเพื่อจะไปตลาดเพื่อซื้อของไปทำบุญกัน ระหว่างทางที่เราเดินในซอยเล็กๆ นั้น พลันฉันก็หงุดหงิดเหลือกำลังกับความเห็นแก่ตัวของคน เราเจอกับรถขนปูนที่มาเทปูนตรงบริเวณที่กำลังก่อสร้างคอนโดหรูกลางซอย แต่ด้วยความที่ซอยข้างบ้านฉันนี่มันเล็กเหลือเกิน ขนาดรถยนต์วิ่งได้คันเดียว หากจะสวนกันก็ต้องมีคันใดคันหนึ่งหลบอยู่ตรงริมถนนแบบตัวลีบสุดฤทธิ์ (ถ้ารถยนต์มันลีบตัวได้นะ) แต่ไอ้สิ่งที่ฉันเห็นเนี่ย รถขนปูน ไม่ใช่คันเล็กๆ นะ คันใหญ่คับถนน ชนิดที่เรียกว่าพวกฉันต้องเข้าแถวเรียงหนึ่งเดินผ่านบริเวณที่รถขนปูนนั้นกำลังทำงาน ไหนจะรถคันใหญ่เท่าถนน ไหนจะคนงานที่ตะโกนโหวกเหวกให้คนให้รถอื่นๆ หลบไป แล้วไม่ใช่มีแค่คันเดียวเสียด้วยสิสำหรับรถขนปูน เพราะเขาต้องเทกันไม่ต่ำกว่า 10 เที่ยวเป็นอย่างน้อย ฉันละขุ่นใจเสียจริงๆ จะไม่ให้ฉันเรียกว่าความเห็นแก่ตัวของคนไปได้อย่างไร ช่วงระหว่างที่พวกคนงานกำลังตอกเสาเข็ม น้ำที่เขาสูบขึ้นมาจากพื้นดินมันก็นองเต็มซอยเล็กๆ แบบนี้ ไม่ต้องอาศัยฝนฟ้าช่วยสักนิดเดียว ซอยข้างบ้านฉันก็น้ำท่วมได้ ฉันมักจะค่อนอยู่บ่อยๆ ว่าเออดีแฮะ ฝนไม่ตก น้ำก็ท่วม อุดมสมบูรณ์ดีจริงๆ ซอยนี้ มันเป็นซอยที่ฉันมักจะใช้สัญจรผ่านอยู่บ่อยๆ มาเจอแบบนี้เข้าฉันก็หงุดหงิดรำคาญเต็มที จะทำอะไร ไม่ได้นึกถึงคนอื่นๆ ที่เขาอยู่ร่วมกัน หรือต้องใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เลย ก็อยากดูนักล่ะว่าจะขายออกไหม คอนโดห้องเล็กนิดเดียวดันผ่าขายซะแพง ถ้าเป็นตึกแถวราคาขนาดนี้ยังพอฟัง แต่จะว่าไปก็คงไม่แน่แฮะ เพราะพัทยาเนี่ย อะไรๆ ก็ว่าได้ ตึกราคา 35 ล้าน ยังขายออกสบายๆ ถ้าหากทำเลดีนะ แต่คอนโดเนี่ย ฉันยังกังขาอยู่ว่าจะขายได้แน่รื้อ ก็คงต้องคอยดูต่อไปล่ะ


เออ แฮะฉันออกนอกความตั้งใจอีกล่ะ เอาเป็นว่า หลังจากพวกฉันฝ่าฝันกับเส้นทางนรก (ในตอนนั้น) มาจนถึงท้ายซอยที่ถนนริมหาดได้แล้ว เราก็ต่อรถสองแถวเพื่อไปตลาดกันทันที เราซื้อหลอดไฟไปถวาย แทนที่จะเป็นเทียน เพราะเห็นว่าหลอดไฟคงมีประโยชน์กับทางวัดมากกว่าจะถวายเทียนพรรษา เราหอบหิ้วกล่องหลอดไฟที่เหมายกกล่องรวมถึงผลไม้บางอย่างไป จริงๆ มันเลยเพลแล้วนา พระท่านจะรับไหมน้อ แต่เอาเหอะ หิ้วๆ ไปเสียหน่อย ถ้าไม่รับก็เอากลับมากิน คิดกันแบบนี้นี่เล่าถึง enjoy eating กันทั้งหมดแบบนี้ :P ข้ามถนนมารอรถสองแถว เรียกมาได้คันหนึ่ง ต่อราคาไปกลับ 400 ร่ำๆ อยากไม่ไปทำบุญ วัดนี้ห่างออกมาไม่ถึง 30 กิโลด้วยซ้ำ ทำไมมันแพงแบบนี้ฟะ แต่พี่คนที่ไปด้วยบอกว่า น่า จะไปทำบุญอย่าคิดอะไรมากเลย ก็ไม่ได้อยากจะคิดอะไรมากหรอกนะ แต่ราคามันแพงเกินไปจริงๆ แต่เอาเหอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ตามเขามาแล้วนี่ จำต้องตามเขาต่อไปให้ถึงที่สุด ทำไงได้ละ(ฟะ)

 


20 นาทีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ........


สองแถวพาเรามาถึงจุดหมายปลายทางด้วยความปลอดภัย พอรถเลี้ยวเข้าประตูวัดเท่านั้นแหละ ไอ่ความคิดแผลงๆ ของฉันมันก็แย่งกันผุดขึ้นมาอย่างกับเต้นระบำเลยเชียว สิ่งแรกที่ฉันเห็น ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขายผลไม้หน้าวัด (เอาเหอะ ไปที่ไหนๆ ก็มีแหละน่าแบบนี้) แล้วพอมองเข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่ อ้าวนั่น ร้านขายเครื่องสังฆทาน ไม่ต่ำกว่า 5 ร้าน - -" ทำไมมันเป็นแบบนี้เนี่ย ยังไม่นับ หมอดูที่อาศัยร่มเงาของต้นไม้นั่นอีก มีร้านขายกาแฟโบราณ ร้านขายโจ๊กหมู ดอกไม้ธูปเทียน ร้านขายสัตว์ต่างๆ ที่เขานิยมปล่อยเพื่อทำบุญ เท่าที่ยืนอ่านป้ายดู นับได้ 5-6 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ยอดฮิต แบบเต่า ปลาไหล นก ปลาหมอ ปลาอะไรอีกหว่า ว้า ฉันจำไม่ได้ล่ะว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ไม่น้อยเลยล่ะ นับว่าหลากหลายชนิดกว่าวัดอื่นทั่วๆ ไปเหมือนกันนะ สงสัยนี่จะเป็นจุดขายของวัดนี้ละมัง อ๊ะ ๆ นี่ยังไม่หมดนะ บริการของทางวัด ฉันยังไม่ได้นับบริการมอเตอร์ไซด์รับจ้าง หรือปะยางด้วยนา ครบวงจรดีไหมล่ะวัดนี้ แต่เอาเหอะท่องไว้ มาทำบุญๆ วันพระทั้งนี้ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเองหน่อย ^^"


พอเราลงจากรถสองแถว พากันหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินมาเข้าเขตศูนย์การค้าทางศาสนา เอ้ย ไม่ใช่ ร้านค้าในวัด (เข้าใจว่าส่วนใหญ่จะเป็นการรีไซเคิล หรือฮั้วกันในวัด เอหรือประมูลเอาหว่า เพราะอะไรเดี๋ยวบอกทีหลัง) ยังไม่ได้จะเดินไปถึงไหนเล้ย เสียงต้อนรับดังขึ้นเซ็งแซ่

"นั่งก่อนนะจ๊ะ วางของก่อนจ๊ะ พระกำลังฉันเพลอยู่ นั่งพักก่อนจ้า" ฯลฯ อะไรทำนองนี้ แล้วสักพัก ก็ได้ยินมาอีกว่า
"รับดอกไม้ สังฆทานเพิ่มไหมจ๊ะ" ฉันคิดว่าสงสัยวิธีนี้คงจะเลียนแบบมาจากร้านค้าเอนกประสงค์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงกันทุกมุมเมืองในตอนนี้เป็นแน่เลย

แรกทีเดียวว่าจะนั่งเฉยๆ รอเวลาขึ้นไปถวายหลอดไฟ แล้วก็รับศีลรับพรจากพระท่านเสียหน่อย แต่แม่คุณสองคนที่ไปด้วย เดินไปชอปต่อ ซื้อดอกไม้ และชุดสังฆทานเพิ่ม ไหนจะธูปกับเทียนอีกล่ะ ฉันเลยต้องเลยตามเลยกับเขา เพราะพี่แกบอกว่า มาทำบุญห้ามคิดอะไรมาก เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่ คำนี้นับแต่เช้าได้ยินมาสองสามรอบแล้วนา ได้แต่งึมๆ งำๆ รับคำพี่แกไป แล้วก็รอเวลาที่จะขึ้นไปทำบุญ
สักพัก ฉันเห็นรถยี่ห้อดังๆ สามดาวบ้าง หรืออื่นๆ ขับรถเข้ามาในวัดไม่ขาดสาย บางทะเบียนมาจากกรุงเทพฯ อืมม มาทำบุญกันไกลเนาะ แสดงว่าวัดนี้คงมีอะไรดีแน่ๆ ไม่อย่างนั้นญาติโยมคงไม่นิยมมาทำบุญถึงนี่เยอะแยะขนาดนี้หรอก เมื่อได้ยินเสียงแม่ค้าบอกกับพวกฉันและพวกที่มาคอยๆ ว่า เตรียมตัวยกของขึ้นไปบนกุฏิได้เลยนะ พวกฉันก็หิ้วของที่เตรียมมาจะไปยืนรอ นึกสงสัยตัวเองเหมือนกัน ว่าตรูจะหอบของไปไงหมดวะเนี่ย โอ๊ะๆ ที่นี่เขาบริการดีนะ มีบริการ สังฆทาน delivery ของที่เราซื้อกับเขา เขาหอบขึ้นไปส่งให้เรา แต่ช้าก่อน พอฉันไปถึงหน้ากุฏิ อุแม่เจ้านี่มันอะไรเนี่ย วัดนี้แจกบุญฟรีเรอะ คนยืนรอกันล้นเต็มบันได อะไรมันจะขนาดนี้ เอาวะ มาถึงที่แล้ว รอขึ้นไปชุดสองแล้วกัน ขณะที่รอ ฉันมองไปรอบๆ อืม มีร้านค้าอีกแล้ว แต่ร้านนี้เป็นร้านเครื่องรางของขลัง ปลัดขิก สาริกา พระพุทธรูป อะไรเทือกนั้น ดูๆ ไปแล้ว พวกที่มาค้าขายอยู่นี่เขาก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดีจริงเชียว ช่วยกันขาย ช่วยกันเรียกลูกค้า แถมดูแลดีอีกต่างหาก ดูจากจำนวนของคนที่มาทำบุญในวันนี้แล้ว ไม่ยากเลยที่จะคิดว่า วัดนี้ คงมีญาติโยมมาทำบุญกันอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะไม่ใช่วันสำคัญทางศาสนาแบบนี้ก็ตาม ไม่อย่างนั้นคงไม่มีร้านค้าผุดขึ้นมาเป็นย่านการค้าแบบนี้หรอกน่า ท่าทางจะรายได้ดีไม่หยอกแหละน่า


ฉันรอที่เชิงบันไดอยู่อีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงถึงคิวพวกฉันขึ้นไป ฉันต้องแอบบ่นในใจอีกที ว่า ทำไมมันแน่นอย่างนี้ฟะข้างบนนี้ ฉันรู้เลยว่าสภาพของปลากระป๋องเป็นอย่างไร จะต่างกันหน่อยตรงที่ฉันไม่ใช่ปลา แต่เป็นตัวอะไรที่ใหญ่กว่าปลาเยอะ ขณะที่ยืนแออัดหาที่ทาง แล้วก็รอชุดเก่าที่เขาเรียบร้อยกิจกันแล้ว อยู่นั้น ฉันก็เห็นเจ้าเหมียวตัวหนึ่ง สีสวยเชียวล่ะ แต่โทษทีเหอะ เพ่แกไม่สนใจใครเล้ย มานั่งเบียดกลางฝูงชน ฉันลูบหางไปหน่อยแล้วบอกหลบๆ หน่อยสิ เดี๋ยวคนมาเขาเหยียบนะเออ เจ้าเหมียวทำเหมือนจะรู้ประสา นอนแผ่ทันที - -" เออ สบายใจจริงนะเอ็ง โดนเหยียบไม่สนใจนะเฟ้ย ว่าจะไม่สนใจ แต่ก็ต้องคอยมองเจ้าเหมียวอยู่เรื่อย สุดท้ายก็เห็นไปนั่งแอบๆ ตรงบันได คงกลัวโดนเหยียบมั่งเหมือนกันแหละน่า พอถึงตาพวกฉันไปนั่งถวายหลอดไฟ พวกเราก็ต้องจำแลงร่างเป็นปลากระป๋องอีกครา ด้วยเพราะว่าคนเยอะเหลือเกิน พระท่านก็จะทำพิธีเป็นชุดๆ ไป เสร็จพิธีฉันปวดเมื่อยขาไปหมดเพราะต้องนั่งแล้วก็ขาโดนทับ - -" ขณะที่ทำพิธีนั้น ฉันเหลือบไปเห็นแม่ลูกค้าขาประจำของฉัน ให้ตายสิเอ้า นั่นชุดมาวัดเขารึนั่น เฮ้อ ทำไมน้อ คนไทยแท้ๆ ทำไมไม่มีจิตสำนึกในเรื่องนี้กันบ้างเลย ไม่มีใครสอนสั่งเรอะว่า การมาทำบุญเนี่ย เขาให้ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นี่อะไร ก้มที เป็นฉันนั่งอยู่ด้านหน้าคงเห็นไปถึงเครื่องในหล่อน แต่เอาเหอะคนเรามันไม่เท่ากัน สมอง หรือความคิด ก็ไม่เท่ากัน หากเขาจะคิดได้แค่นี้ ชีวิตของเขาก็คงไม่พ้นวนเวียนอยู่แค่นี้ ฉันได้แต่มองด้วยความสมเพชแถมอนาถใจกับภาพที่เห็น


เมื่อเสร็จพิธี ฉันรีบเผ่นลงมาจากกุฏิ เพราะมันปวดขาเหลือกำลัง สู้ลงมาเดินเหยียดแข้งขา ให้ผ่อนคลายเสียหน่อยจะดีกว่า ลงมาเจอหน้าแม่คุณลูกค้า อดไม่ได้ที่จะเหน็บไปหน่อยๆ ฉันเองก็แปลกใจไม่หายนะ ว่าทำไมสาวๆ แถวนี้เขามองเป็นเรื่องปกติไปแล้วรึ กับการที่เข้าวัดแล้วต้องใส่เสื้อสายเดี่ยว คอลึก ตกลงมันเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้แล้วใช่ไหมเนี่ย เฮ้อ อีกที หรือจะเป็นเพราะสังคมแถวนี้มันเป็นอย่างนี้น้า
ขณะที่รอพี่แกให้ลงมาจากการทำพิธีลงนะหน้าทอง ซึ่งฉันทนต่อคิวไม่ไหวด้วยความเมื่อย ได้ยินเสียงแม่ค้าบ่นๆ อ๊ะ ข้างบนนั่นโยนชุดสังฆทานแรงจัง บุบแตกมา จะขายไม่ได้นะ


O_o อ้าว นี่ตกลงรีไซเคิลจริงๆ เรอะ หรือท่าจะมีการประมูลในวัดหว่า ว่าเจ้าไหนราคาดีกว่ากันหรือเปล่าน้อ แต่ก็ช่างเหอะเนาะ มาทำบุญ แต่ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าฉันได้บุญหรือบาป อย่างไรเสีย เงินที่รีไซเคิลนั้นเขาก็เข้าวัด ดีกว่าไปรั่วไหลทางอื่นแหละน่า จริงไหม

 
สงสัยว่า ฉันคงทำบุญแถวนี้ไม่ได้แน่ๆ เลย ศรัทธาไม่เกิดจริงๆ เล้ยฉัน

 



Monday, July 26, 2004

ความผูกพันที่ย้อนกลับมาทำร้าย

สองสามวันมานี้ มีบางคนมาถามไถ่เรื่องราวความรักของฉัน ความรักที่ฉันเคยพลาด เคยเจ็บมา จริงๆ บอกไปเล่นๆ นะ ถ้าอยากรู้ ไปหานิยายน้ำเน่าหลายๆ เรื่องมาอ่านก็ได้นะ มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ จนบางทีแอบคิดว่า เอ คนเขียนแอบมายืมบางช่วงของชีวิตฉันไปเขียนมั่งหรือเปล่าน๊า เกิดถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันฟ้องเรียกลิขสิทธิ์ได้ไหมเนี่ย ;-)


หลายคนบอกว่า ทำไมไม่ลองเขียนเรื่องพวกนี้ออกมา ใจหนึ่งฉันก็อยากเขียนนะ แต่อีกใจฉันไม่อยากเขียนเท่าไหร่ เพราะฉันนึกขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันแปลบๆ ในใจทุกทีไป ใครล่ะจะอยากมีรักที่ไม่สมหวัง ใครจะอยากอกหักเพื่อแลกกับคำว่ารักไม่เป็น สำหรับฉัน ฉันไม่เคยคิดว่า ความรักของฉันในวันนั้นมันจะเจ็บ ฝังรากลึกเป็นแผลอยู่ในใจของฉันจนถึงทุกวันนี้

ณ ตอนนี้ ฉันกำลังลังเลใจ ว่าฉันควรเขียนเรื่องราวของฉันตอนนั้นไปดีหรือเปล่า แต่หากไม่มีความเจ็บช้ำในวันนั้น ก็คงไม่มีฉันในวันนี้ ฉันคงไม่เติบโตทางความคิด ทางอารมณ์ หรือเป็นคนที่ฉันเป็นอย่างทุกวันนี้ ฉันไม่สามารถกล่าวได้ว่า คนที่ฉันเคยรัก และเคยรักฉันเป็นคนทำร้าย ฉันอยากจะบอกว่า ฉันโดนความผูกพันมันทำร้ายมากกว่า

คุณเคยโดนความผูกพันมันทำร้ายบ้างหรือเปล่า

บางทีการที่คนเราผูกพันกับอะไร หรือใครมากๆ จนลืมคิดถึงปัจจัยหลายๆ อย่างที่มันประกอบกันในตอนนั้น มันอาจส่งผล หรือทำให้เราต้องเจ็บกับสิ่งที่เราผูกพันนั้นก็เป็นได้ เหมือนอย่างที่ฉันเจอ....





สุดท้าย ฉันตัดใจเขียนเรื่องนี้ไม่ลง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลั่นความรู้สึกต่างๆ ความทรงจำต่างๆ ที่มันเต็มไปด้วยความรู้สึก อารมณ์หลายๆ อย่าง ออกมาเป็นตัวหนังสือ เอาเป็นว่า สรุปง่ายๆ ละกัน ฉันทำใจเขียนเรื่องนี้โดยละเอียดไม่ได้หรอก มันมากเกินกว่าฉันจะรับมันไหว ถ้าต้องนึกถึงวันคืนเก่าๆ อีกครั้ง

ฉันพบกับอดีตคนเคยรักของฉันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นับแต่ฉันเข้าเรียนมหาลัยปิดแห่งหนึ่งในปีแรก เดิมทีฉันกับเขา เป็นเพียงเพื่อนกัน ต่อมาความผูกพันมันมากขึ้น จนเรากลายเป็นคนรักกันเมื่อไหร่ไม่รู้ มันน่าจะเป็นเพียง puppy love ธรรมดา มันกลับไม่ มันเป็นรักแรกที่จริงจังของเราสองคน ฉันกับเขาคบกันดี ไม่มีปัญหาอยู่ 3 ปีเศษๆ เรื่องมันเกิดปลายปีที่ 3 นั่นแหละ ปกติแล้วฉันกับเขาจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แยกจากกันแค่เวลาเรียนกับนอนเท่านั้นแหละ อีกอย่างหนึ่งฉันคิดว่าหลายๆ คนก็คงเป็น ถ้าเราใช้เวลาอยู่กับใครมากๆ รักใคร ผูกพันกับใครมากๆ แล้ว เมื่อวันหนึ่งมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ที่ถึงแม้ต่อให้เขาไม่แสดงออก คุณก็คงจะยังรู้สึกได้ ว่า ใจเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว

เรื่องราวเป็นอย่างที่ฉันคิด คนของฉันเขาเปลี่ยนไป เขาเจอใครที่เขาคิดว่า เขามีความรู้สึกบางอย่าง เขาขอโอกาสกับฉันเพื่อจะพิสูจน์ความรู้สึกที่เขามีต่อเด็กคนนั้นว่า มันเป็นอย่างไรกันแน่ เป็นแค่หลงใหล หรือมันเป็นรักแท้ อาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาแล้วฉันล่ะ ฉันจะทำอย่างไร แน่นอนว่า ฉันขอเลิก แต่มันดูเหมือนว่า ฉันใจไม่แข็งพอ หรือฉันไม่อยากจะเลิกจากเขาไม่รู้แน่ เขาไม่ยอมเลิก พร้อมดึงมือฉันไว้ ล่ามฉันไว้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ คำพูดพล่อยๆ ที่เขาพูดออกมาโดยไม่คิด มันทำให้ฉันต้องติดอยู่ในวังวนชีวิตเขาถึงเกือบ 8 ปี เต็ม !!!

จะว่าไป ก็คงเป็นเพราะความเยาว์ ความที่ยังด้อยประสบการณ์ หรือเพราะความโง่แบบบัดซบของตัวเองไม่รู้สิ เชื่อเข้าไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมา แต่ฉันก็คิดเหมือนกันนะว่า คนเราพอมีความรักมักตาบอด รักมันบังตาทำให้เรามองไม่เห็นอะไรที่มันเป็นความจริงเลยสักนิดเดียว จริงๆ ความหวังเป็นอย่างหนึ่งที่น่ากลัว เราหวังมากเกินไป ว่าสิ่งที่เราคิดมันจะเป็นจริง ทั้งฉันยังผูกพันกับเขามากเกินไป ฉันทนอยู่ในที่ๆ เขาให้ฉันอยู่เกือบ 4 ปี ทำไปได้อย่างไรไม่รู้สิ กว่าฉันจะผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดเดียว กว่าน้ำตาฉันมันจะหยุดไหล กว่าฉันจะเลิกฝัน เลิกหวัง กว่าฉันจะตื่นขึ้นมาพบความเป็นจริงที่ว่า เขาไม่ได้ต้องการฉันในชีวิตของเขาอีกต่อไปแล้ว มันเป็นความจริงที่ยากจะยอมรับ แต่ในที่สุดฉันก็ต้องรับในสิ่งนั้น ความจริงที่ฉันไม่อยากจะยอมรับมันเลยสักนิดเดียว ฉันต้องเสียคนที่ฉันรักที่สุด นอกจากพ่อแม่และครอบครัวฉันไป

ฉันถึงบอกว่า ฉันโดนความหวังและความผูกพันทำร้าย หากฉันไม่หวังว่าเขาจะกลับมาเหมือนเดิม กลับมาทำตามสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับฉัน ฉันคงไม่ต้องเจ็บเรื้อรังอยู่นานถึงขนาดนั้น ฉันน่าจะรู้ว่า วันเวลาเมื่อมันผ่านไป เราเรียกมันกลับคืนไม่ได้ แต่อย่างไรเสีย ฉันก็เรียกความผิดพลาดในอดีตที่ฉันก้าวพลาดไปกลับคืนมาไม่ได้ ฉันก็ต้องยอมรับมัน หากจะถามว่า ถ้าฉันย้อนเวลาได้ ฉันยังจะเลือกรักเขาอยู่ไหม ฉันตอบได้ว่า ฉันคงเลือกรักเขาเหมือนเดิม แต่จะไม่เลือกเดินทางเดิมที่ทำร้ายตัวเองอยู่หลายปีแบบเดิม ฉันคงจะยอมเจ็บครั้งเดียว ดีกว่าต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับความหวังที่มันเลื่อนลอย


เรื่องราวจริงๆ มันซับซ้อนกว่านี้ มันรุนแรง มันร้ายกว่านี้มากนัก มากมายจนเป็นฝันร้ายที่ฉันฝันถึงอยู่หลายปี จนบัดนี้ มีบางคืนเหมือนกันที่ฉันต้องฝันถึงเขา ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะฝันถึงเลย อย่างไรก็ดี ฉันก็ยังคุยกับครอบครัวเขาเหมือนเดิม ทำตัวเหมือนเดิมกับที่ฉันเคยทำมาเป็นเวลาหลายปี เพราะเหตุนี้ละมัง ครอบครัวเขาถึงยังรักฉันนักหนา ฉันไม่เคยดูดาย ไม่เคยนิ่งเฉยกับพวกเขา ยกเว้นเขาคนเดียว ล่าสุด ได้ข่าวว่า เด็กคนที่เขารักนักหนา ยกย่องให้อยู่เหนือคนอื่นๆ จะย้อนรอยเขาเข้าให้แล้ว วันที่ฉันรู้ข่าว ฉันมีความสุขกับข่าวที่ได้ยิน พร้อมกับคิดได้ว่า กรรมมันตามกันทันในชาตินี้แหละนะ ไม่ต้องรอถึงชาติไหนๆ

จริงๆ ฉันควรขอบใจเขาหรือเปล่าไม่รู้ ที่ช่วยหล่อหลอมฉันให้เป็นอย่างทุกวันนี้ วันเวลา ความเจ็บปวดในวันเก่า มันทำให้ฉันค่อยๆ พินิจพิจารณาอะไรหลายๆ อย่าง ฉันไม่รีบร้อน ฉันไม่ใช้ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจ แต่ละก้าวที่ฉันเลือกเดิน ฉันมองอะไรกว้างมากขึ้น มองโลกด้วยสายตาที่มองความจริงมากขึ้น จนเป็นฉันอย่างวันนี้







วันเวลามันช่วยเราได้จริงๆนะ ;-)






Sunday, July 25, 2004

เมื่อน้ำมันล้นแก้ว

 

 

เมื่อน้ำมันล้นแก้ว  ....

อธิบายลำบากหรือเปล่านา แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะเล่าออกมาหรอกว่า เมื่อน้ำล้นแก้วมันเป็นแบบไหน 

ตัวฉันเอง มันคล้ายๆ แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ในแก้ว แล้วใครต่อใครก็พากันเอาหินบ้าง เอาอย่างอื่นบ้างมาใส่ลงในแก้วเข้าไปเรื่อยๆ จนน้ำมันล้นออกมา มันเหมือนสภาวะอารมณ์ของฉันในหลายๆ ที หากฉันมีอาการแบบนี้เมื่อไหร่ ฉันไม่ได้โวยวาย เหมือนอาการนอตหลุดที่เคยเป็นไม่นานมานี้ กลับตรงกันข้าม ฉันจะรู้สึกว่าเหนื่อย เหนื่อยใจ หาใช่อาการเหนื่อยล้าทางกายไม่ มันเหนื่อยใจ ไม่อยากจะทำอะไร อยากจะหนีไปไกลๆ ไปในที่ๆ ไม่มีใคร หรือถ้าหากจะมีใคร ก็เป็นใครบางคน ที่ฉันสามารถแบ่งปันเรื่องราวที่ฉันต้องรับมา ใครบางคนที่ฉันสามารถคุยกับเขาได้ ใครบางคนที่ช่วยให้ฉันสามารถผ่อนคลายจากความอ่อนล้าใดๆ

ฉันมีความรู้สึกว่า ตัวฉันเหมือนฟองน้ำ ฉันมักจะมีใครหลายคนมาคุยด้วย มาเล่าให้ฟังถึงปัญหาต่างๆ ของพวกเขา มาคุยถึงเรื่องความคิดต่างๆ หรือกระทั่งการตัดสินใจ ฉันมีความสุขที่อย่างน้อยพวกเขาก็เลือกฉัน มันหมายความว่า ฉันเป็นคนที่พวกเขาไว้ใจ หลายต่อหลายครั้งที่ฉันรับฟังปัญหาของพวกเขา ไม่ใช่แค่เพียงปัญหา หากแต่มันรวมไปถึงเรื่องราวที่ไม่สบายใจหลายๆ อย่าง ข้อเสียของฉัน คือ ฉันเป็นเหมือนฟองน้ำ เมื่อคนเหล่านั้นเขาพูดคุยกับฉันมากๆ เข้า ฉันมักจะเก็บความคิด ความทุกข์ใจของพวกเขา มาประหนึ่งว่าเป็นของฉันเอง จนบางทีฉันเหนื่อย ฉันคิดกลับไปมาอยู่หลายครั้ง ฉันรู้ว่ามันไม่ดี แต่ฉันก็หยุดตัวเองไม่ได้ที่จะไม่คิดเรื่องพวกนี้เลย บางคนพยายามจะเตือนฉัน อย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาคิดเหมือนกับเรื่องตัวเอง ฉันก็ยังทำไม่ได้ ฉันรู้ว่ามันไม่ดีหากเราจะทุกข์ จะร้อนกับเขาเกินไป  ฟองน้ำแบบฉันมันได้แต่ซึบซับเรื่องราวต่างๆ ผ่านไปผ่านมา หลายครั้งเหมือนกันที่ฟองน้ำก็ต้องคายน้ำออก เมื่อน้ำที่ดูดเข้ามามันล้นเกินไป

ฉันคิดว่าใครๆ ก็คงจะเคยมีอาการแบบเดียวกันกับฉัน อาการที่ฉันเรียกมันว่า น้ำล้นแก้ว บางที ฉันเหนื่อยใจกับความเป็นไป กับอะไรๆ ที่ฉันรับมากเกินไป ฉันอยากจะหนีไปที่ไหนสักแห่งเหลือเกิน  แต่บางทีแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำของใครบางคน มันก็เหมือนแสงแดดที่ส่องเข้ามา ช่วยละลายน้ำให้แห้งไปจากใจฉันได้เหมือนกัน 

อยากไปเที่ยว อยากไปไหนเงียบๆ จริงๆ เลยเชียว ^^

 

 

Tuesday, July 20, 2004

ไดอด ไดเอ็ท

อ๊ะ วันนี้ ฉันมาแนวเพื่อสุขภาพ จริงๆ อยากจะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างน่ะ หลังจากที่ให้รางวัลตัวเองเป็นอะไรหลายอย่างตั้งนาน แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อสุขภาพตัวเองเลยสักครั้ง
 
เรื่องมันมีอยู่ว่า ฉันน่ะเป็นคนชอบกิน เป็นประเภท enjoy eating ประมาณนั้นแล จะมีความสุขกับการกิน การทำอาหารที่หลังๆ นี่ไม่ได้จับหรือเข้าครัวเลย ด้วยเพราะอยู่ที่นี่มันไม่มีพื้นที่ให้ฉันได้ทำ ไม่อย่างนั้นสงสัยน้ำหนักฉันคงขึ้นมาอีกโข จริงๆ ตอนนี้ก็ขึ้นมาหลายแล้วล่ะ มองตัวเองทีไร กลุ้มใจทุกที ทำไม มันบานออกได้ทุกวันว้า จะว่าไปแล้ว ฉันมานึกๆ ดู ว่าทำไมฉันปล่อยตัวได้ขนาดนี้ ก็คงจะมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกินของฉัน หรือการใช้ชีวิตประจำวันของฉัน ที่ส่วนใหญ่นั่งอยู่แต่หน้าคอม วันๆ ไม่ได้ทำอะไร อยู่กับเครื่องคอมเสียเป็นส่วนใหญ่ คาดว่า ถ้าเครื่องคอมเป็นคน ฉันคงได้คอมฯ เป็นแฟนไปนานแล้วล่ะ
 
นับแต่ออกจากงานประจำครานั้น ชุดสวยๆ แบบสาวออฟฟิศทั้งหลายแหล่ก็อยู่ในตู้ กับราวแขวนเสื้อผ้าที่บ้าน ไม่ได้ใช้เลย ไหนจะชุดออกงานกลางคืนที่นิยมนักหนานั่นอีกล่ะ เพราะงานที่ฉันทำตอนนี้ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องแต่งตัวแบบนั้น อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ผลสุดท้ายเลยต้องมานั่งเสียใจที่ปล่อยตัวเองบึกเสียขนาดนี้  หลายๆ เสียงเรียกเราว่าหมูน้อยมั่งล่ะ แมวน้ำมั่งล่ะ ฟังแล้วมันจึ้กๆ เจ็บในใจน่อ ล่าสุด พี่ตัวดี เรียกหนุมารี โอ้วแม่เจ้า เรียกน้องเรียกนุ่งอย่างนี้ได้ไงเนี่ย
 
แล้วทำไมจู่ๆ ฉันถึงลุกมาลดน้ำหนักล่ะ อืมม อาจจะเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากพี่ไว พี่ที่หลังห้อง เห็นแกตั้งใจทำจริงๆ พุงน้อยๆ ของแกก็ยุบลงหน่อยๆ ฉันก็อยากจะทำมั่ง เหมือนไงล่ะมีตัวอย่างให้เราดู เราก็อยากทำ และคิดว่าเราน่าจะทำได้ ใช่ไหมล่ะ รวมถึงว่า เดือนหน้าเนี้ย เป็นงานวันแต่งงานของเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยมาด้วยกัน แล้วฉันก็ตั้งใจแล้วว่าจะไป เพราะอยู่ไม่ไกลจากที่บ้านฉันเท่าไหร่ ฉันจะได้ถือโอกาสกลับบ้านไปหายายคุณนายแม่ของฉันสักที บ่นงอนๆ ฉันมาหลายคราแล้วเรื่องไม่กลับบ้านเนี่ย คิดถึงจัง ^^   ซึ่งงานแต่งงานนี้ ฉันคงได้เจอเพื่อนๆ หลายคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ร่วมๆ 7 ปีได้กระมัง ทีนี้ถ้าฉันเจอเขาจะให้ฉัน "บึก" "อวบเกินงาม" แบบนี้คงไม่ไหวแน่ อายเขาตาย จากตัวเล็กกว่าเขา กลายเป็นตัวใหญ่กว่าเขา ฉันทำใจไม่ด้ายยยยยยยยย
 
อย่าว่ากระนั้นเลย ฉันก็เลยเริ่มลงมือลดน้ำหนัก ตามสูตรที่พี่ไว พี่ชายใจดีเอามาฝากกัน ฉันเริ่มทำมาตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว จนถึงวันนี้ เวลาประมาณเที่ยงนิดๆ หลังอาบน้ำเสร็จ น้ำหนักฉันหายไป 4 กิโล 8 วัน 4 กิโล  ฉันก็ดีใจสิ มีกำลังใจขึ้นมาอีกโข เออ ว่าอย่างน้อยเวลาเราตั้งใจทำอะไร มันก็ทำได้นะ มันอยู่ที่ใจจริงๆ  หลายต่อหลายครั้งที่ฉันเพียรลดน้ำหนัก แต่ฉันไม่เคยทำได้สำเร็จ เพราะห้ามใจตัวเองไม่ค่อยจะอยู่ เห็นของกิน ของโปรดก็ได้แต่มองตาละห้อย แต่คราวนี้ฉันทำได้ดีพอสมควร จริงๆ 4 กิโลเนี่ยยังอีกไกลกับเป้าหมายฉัน ฉันคิดว่าจะทำไปเรื่อยๆ  ฉันไม่หวังว่าต้องกลับไปตัวเล็กเหมือนเก่าหรอกนะ แต่ว่าขอตัวเล็กกว่านี้สักนิดก็ยังดี แหะๆ
 
วิธีการของฉันค่อนข้างจะโหดอยู่เหมือนกัน เพราะต้องตัดแป้งตัดน้ำตาลออกจากชีวิต แต่มันก็ไม่อะไรมากมายจนอยู่ไม่ได้หรอกนี่นา เพราะยังไงเสีย ฉันก็ผ่านมาจนถึงวันที่ 9 แล้ว อีกไม่ไกลหรอกน่าเป้าหมายของฉันน่ะ ขอฉันมีกำลังใจให้ตัวเองอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ^______________^
 
 
 
 
 
เป็นอีกวันหนึ่งที่รู้สึกดีกับตัวเองในรอบหลายๆ วันที่ผ่านมา
 
 
 
 



Wednesday, July 14, 2004

อยู่คนเดียว มันจะตายเรอะ

จั่วหัวด้วยความหงุดหงิดใจ กับอะไรหลายๆ อย่าง ของใครบางคน

เฮ้อ ขอถอนใจสักทีนะ นึกทบทวนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ถึงแม้จะไม่ได้เกิดกับตัวเองโดยตรง แต่ก็เกี่ยวข้องกับคนที่ฉันสนิทค่อนข้างมาก ฉันมักจะเป็นคนที่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรๆ ของคนๆ นี้อยู่เสมอ ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะรับฟัง กลับเต็มใจฟังเขา อยากรับรู้เรื่องราวของแกเสมอ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคราวนี้ ฉันหงุดหงิด ฉันเห็นใจเขานะ แต่ฉันก็ได้แต่ข้องใจว่าทำไม ทำไม และสาเหตุมันคืออะไร


ฉันพูดไม่ออกเต็มปากเท่าไหร่ว่า เรื่องราวของแกมันเป็นอย่างไร แต่มันก็อัดแน่นอยู่ในใจฉัน ในฐานะที่ฉนรับรู้เรื่องราวความรักของแกมาโดยตลอด หลายต่อหลายครั้งที่แกพยายามไขว่คว้าหาคนรัก หาคู่แท้ที่จะอยู่กับแกตลอดไป จนคราวนี้ดูจะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สุดของแก ฉันได้แต่เฝ้ามองดูแกด้วยความเป็นห่วง ฉันไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ ฉันบอกแกในสิ่งที่ฉันคิด แต่การตัดสินใจเป็นเรื่องของตัวแกเอง แกตัดสินใจไปแล้วว่าอะไรเป็นอะไร หรือแกควรทำอะไร พร้อมๆ กัน ฉันพยายามจะทำความเข้าใจว่าทำไม แกถึงปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ดูเหมือนแกจะเป็นคนโชคร้ายในเรื่องความรัก กี่ครั้งแล้วไม่รู้ที่แกต้องผิดหวัง เรื่องคราวนี้ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาว่ามันจะจบลงแบบซ้ำรอยเดิมหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ รอยแผลของแกนับวันมันยิ่งบาดลึก มันยิ่งกว้างขึ้น

เอ ฉันชักจะอารัมภบทยาวไปเสียแล้วกระมังเนี่ย เหตุของความขุ่นข้องในใจฉันครานี้ ก็คงจะเป็นเพราะ เมื่อฉันมานั่งคิดทบทวน หาเหตุผลกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ฉันคิดว่า เรื่องราวที่มันเกิดขึ้น เพราะแกไขว่คว้าหาความรักเกินไป แกเหมือนทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่คนเดียว แกคอยจะคิดย้ำว่า คนเราต้องมีคู่ แกเลยดูเหมือนจะหาใครสักคนที่จะรักแก แคร์ และห่วงใย ใครสักคนที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดไปกับแกจนแก่เฒ่า แต่ดูเหมือนยิ่งแกดิ้นรนจะมีคนรักมากเท่าไหร่ สิ่งที่แกได้กลับมามันก็ดูจะทำให้แกเจ็บยิ่งขึ้น ฉันก็นั่งนึก นั่งสงสัยเหมือนกันนะว่า ทำไมคนเรามันจะต้องอยากมีแฟน อยากมีคู่กันขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะต่อต้านเรื่องการมีคู่ หรือมีแฟนหรอกนะ เพราะตัวฉันเองก็แอบๆ อยากมีเหมือนกัน เพียงแต่ว่า ฉันไม่ได้กำหนดเงื่อนไขให้กับชีวิตตัวเอง ว่าตายละ ใกล้เลข 3 แล้วต้องมีนะ ไม่งั้นต้องเก็บเงินดาวน์หมู่บ้านคานทองฝังเพชร ฉันก็คิดว่าถ้าไม่มี มันก็ไม่ตายนี่นา ฉันไม่ได้คิดว่า ฉันอายุเท่านี้แล้ว ฉันต้องมีแฟนแล้วนะ มันดูเหมือนกับการบีบบังคับชีวิตเกินไป เกิดมาฉันก็ไม่ได้เกิดมาตัวติดกับใคร แถมถ้าฉันตายไป ก็คงมีแต่ร่างฉันที่ดับดิ้นไป ฉันคงไม่ใจร้าย หรือรักใครมากพอจะไปกอดคอเขาตายไปกับฉันด้วยหรอก

อ้าวลืมไป ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันแค่เพียงเปรียบเทียบในมุมมองของฉันเองเท่านั้นแหละ ฉันเองก็ลืมไปว่า คนเราแต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน ฉันเองอาจจะคิดแตกต่างจากคนอื่นๆ ส่วนมากก็เป็นได้

จริง ๆ แล้วฉันเป็นห่วงพี่แกนะ ฉันอยากให้แกอยู่ได้ด้วยตัวแกเอง อยากให้แกรักตัวเอง อยากให้แกมีความสุขกับการใช้ชีวิตของแก ไม่ใช่จะมานั่งกังวลกับเรื่องพวกนี้ เพราะแบบนี้แหละ พอแกมีใคร แกถึงทุ่มเทรักให้เขามากนัก ถ้าเราไม่เริ่มต้นรักตัวเอง ใครจะมารักเราแบบจริงใจล่ะ คนเรานะ รู้ว่า ธรรมชาติสร้างมาให้มีคู่ เพียงแต่ว่า ช่วงที่ยังไม่ถึงเวลาของเรา ทำไมเราไม่มีความสุขกับชีวิตแบบนี้ ทำไมต้องอยากจะมีคนที่รักมากขนาดนั้น เพราะความที่อยากมีคนรัก อยากมีใครดูแลนั่นแหละ ถึงทำให้พี่แกตัองมานั่งเสียใจ เพราะความรัก ความเชื่อใจที่มีให้คนที่แกรักมันมากเกินไป มากเกินกว่าจะมองเห็นถึงความเป็นจริง ถึงความเป็นไปได้ เฮ้อ อีกที





ฉันละอยากจะพูดกับแกต่อหน้าจริงๆ นะ ว่า "อยู่คนเดียวหรือไม่มีแฟนน่ะมันจะตายเรอะ" แต่ทำไงได้ล่ะ ฉันเองก็ไม่อยากไปพูดจาอะไรรุนแรงกับคนกำลังเสียใจ ทำได้แค่ฮึดฮัดงุ่นง่านกับตัวเองนี่แหละ ว่าๆ ไปแล้วชีวิตฉันพักนี้มีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดแฮะ เฮ้ออ (อีกสักที รอบสุดท้ายละกันนะ)



Wednesday, July 07, 2004

D I F F E R E N C E S

โลกเรานี่ก็แปลกนะ อะไรๆ หลายอย่างหลายหลากรวมกันอยู่บนโลกใบนี้ แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือ ใจคน แต่ละคนนี่คิดอะไรได้หลายอย่าง ทำอะไรได้หลายอย่างด้วยความรู้สึกที่ต่างกันมากมาย ฉันเองก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ล้านคนบนโลกใบนี้ ความคิดของฉันมันก็คงแตกต่างจากใครๆ เขาด้วยเหมือนกัน ใช่ว่าจะมีแต่ฉันคนเดียวที่รู้สึกว่าคิดไม่เหมือนกัน

จะว่าไปแล้วหลายวันมานี้มัววุ่นวายอยู่กับการเกาะติดข่าวตามหน้าเวปพันทิป ซึ่งจริงๆแล้วก็เล่นอยู่ที่เวปบอร์ดแห่งนี้ประจำแหละ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมานี้มันสะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นข่าว Talk of The Town ของดาราสาว ที่ทำเอาเพื่อนร่วมเวปคนหนึ่งต้องเจอวิบากกรรมขนาดหนัก หรือจะเป็นข่าวความคิดเพี้ยนๆ ของป้า สว.คนดัง ที่นำเสนอเรื่องอะไรออกมาก็ดูจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั่วบ้านทั่วเมือง

มุมมองแต่ละคนนี่อย่างไรก็หาเหมือนกันได้น้อยนะ อย่างเรื่องของนมดาราสาวที่ทำเอาพื้นที่สาธารณะที่ฉันเล่นเป็นประจำเนี่ยต้องได้รับผลกระทบหลายอย่าง แต่คนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าฉันมากมายนัก คือน้องคนนั้น เด็กคนนั้นอาจจะคะนองไปบ้าง ที่เอารูปดาราสาวคนนั้นมาโพสลงในพื้นที่สาธารณะเช่นนั้น แต่ ความผิดของเขาที่สื่อหัวสีต่างๆ ช่วยกันกระพือโดยไม่มีการใช้สมอง (ที่แทบจะไม่ค่อยมี) ด้วยสักแต่ว่าเป็นข่าวคาว เรื่องนี้ขายได้ คราวนี้แหละ กรูขายได้เยอะแน่ๆ ความผิดข้อหาหมิ่นประมาทของน้องเขาเลยลามประหนึ่งเขาเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนตาย แล้วยิ่งที่ห่วยแตกกว่านี้ ก็คือ เขาเป็นเพียงแค่คนที่นำรูปมาโพสต่อ ไม่ใช่ต้นตอที่เผยแพร่รูปนี้ออกมา แต่ด้วยความเฮง(ซวย) ของหลายๆ คน แทนที่จะไปตามจับไอ้คนนั้น ดั๊นมักง่าย เอาชุ่ยเข้าว่า เล่นน้องคนนี้แหละฟะ ที่สลดใจยิ่งกว่าคือการคัดค้านการประกันตัวของน้องเขา อะไรละเนี่ย ประเทศสารขัณฑ์ ข่าววันนี้ที่ได้ฟังได้อ่านได้รับรู้มา มือปืนที่เป็นคนยิงแกนนำในการประท้วงแห่งหนึ่งได้รับการประกันตัว แต่น้องเขาไม่ ความเหลื่อมล้ำนี่มันมีจริงๆ ทุกสังคม กระทั่งในคุก !!!!

ยิ่งได้รับข่าวเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ แกมอนาถใจกับสิ่งที่เห็นทุกวันนี้มากขึ้น ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจในมือตัวจริง จะเป็นสื่อ มากกว่าคนอื่นๆ มีรูปโป๊ในเครื่องน้องเขากลับกลายเป็นไอ้คนวิปริต ไอ้คนบ้ากาม ฉันเองก็แปลกใจจริงๆ คนใช้คอมส่วนใหญ่ร้อยละ 90 (ฉันเชื่อของฉันอย่างนี้นะ) ล้วนแล้วแต่มีรูปโป๊เก็บไว้ในเครื่องทั้งนั้นแหละ กระทั่งฉันเองที่เป็นผู้หญิงนี่ก็เหอะ แต่สื่อเขาทำราวกับว่าน้องเขาเป็นแหล่งผลิตซีดีโป๊ เป็นตัวแทนจำหน่ายรูปโป๊ต่างๆ เห็นแล้วก็เฮ้อ ตอนนี้เลยเหมือนได้ดูคำพิพากษาเวอร์ชั่นใหม่เลยแฮะ จริงๆ แล้วฉันไม่ชอบเลยนะ นิยายเรื่องนี้(เออ เขาเรียกนิยายหรือเปล่าว่า ซีไรท์เรื่องนี้) ด้วยความที่มันเศร้าหดหู่เกินไป มันเป็นความจริงในสังคมที่ฉันไม่อยากจะรับรู้ หรือได้เห็นเลย .....


ส่วนอีกเรื่องที่ฉันรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งกว่าเรื่องสื่อ หรือเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในการปฏิบัติของหน่วยงานราชการที่เขาเรียกว่า ตำ.. ในประเทศสารขัณฑ์นี้ ก็คงไม่พ้นเรื่องที่คนหลายๆ คนในภาคเหนือ หรือกระทั่งในหลายๆ ภาคทั่วประเทศนี้กำลังหงุดหงิดรำคาญใจ ป้าสว.คนดังคนนั้น

การที่แกออกมาเรียกร้องสิทธิสตรีแบบนี้ ฉันซึ่งเป็นผู้หญิงแท้ๆ ไม่เคยชอบใจเลยสักครั้ง ให้ตายสิเอ้า คิดอะไร เสนออะไรออกมาแต่ละที มีมั่งหรือเปล่าที่คนจะเห็นด้วยกับป้าแก ฉันก็ยังสงสัยอยู่หลายทีนะ ทำไมดูเหมือนแกจะไม่ยอมรับอะไรเลย นี่กระมังที่เขาว่าไม้แก่ดัดยาก ป้าแกก็ขนาดนี้แล้ว วัยนี้เห็นทีจะดัดไม่ไหว คงต้องหาอะไรมาเขวี้ยง หรือต้องโค่นทิ้งซะกระมัง อาจจะเป็นประโยชน์ได้มากกว่านี้

อย่างคราวนี้ เล่นกับความเชื่อ ประเพณี รีตปฏิบัติที่เขาสืบต่อกันมานับศตวรรษ แกคิดอะไรของแกน๊า ป้าคนนี้ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ป้าแกอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลยรึ ตัวแกก็อายุจนปูนนี้แล้ว จะมาเรียกร้องอะไรกันนักหนาเล่า แกลืมไปหรือเปล่า พื้นที่แต่ละพื้นที่ ชุมชนแต่ละแห่งมีวัฒนธรรม มีความเป็นมาที่แตกต่างกัน เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนาที่จะปรับเปลี่ยนของเขา ฉันมองว่าด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่างที่แหละที่ทำให้แต่ละชุมชนมีเสน่ห์ไม่เหมือนกัน ที่ทำให้แต่ละชุมชนสามารถยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้นานนับนาน ...











แต่ก็อย่างว่า คนเราแต่ละคน คิดอะไรได้ไม่เหมือนกันจริงๆ !!!





Wednesday, June 30, 2004

กรรมของสาวไทย

คืนวาน เดินทางไปส่งเพื่อนที่กรุงเทพฯ เพราะเจ้าหล่อนจะเดินทางไป South Africa อิจฉาคนมีแฟนเหมือนกันนะ ^^

ส่งกันเรียบร้อย ร่ำลากันเสร็จสรรพ หันไปมองหน้ายัยเพื่อน น้ำตาคลอๆ เหมือนกลัวเหลือเกินกับการเดินทางครั้ง จริงๆ เป็นใครก็คงจะกลัวแหละนะ เพราะเป็นการขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศครั้งแรก แถมยังต้องไปคนเดียว ภาษาอังกฤษก็ไม่ดีเท่าไหร่ แล้วยังต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบอีก น่าสงสารจริงๆ

ดึกของวันนี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากยายหนูแก แกบอกว่า มีปัญหา ทาง immigration ไม่ยอมให้หนูแกเข้าประเทศ ด้วยข้อหาพกเงินมาน้อยเกินไป แล้วก็กลัวว่า จะไปขายตัวเหมือนอย่างสาวไทยอีกหลายๆ คน

ฟังแล้วอนาถใจ ด้วยคนไม่กี่คนไป ทำให้ชื่อเสียงของผู้หญิงไทยเราต้องแปดเปื้อน จะไปไหนมาไหนแต่ละที ผู้หญิงไทย เดินทางคนเดียว ก็ดูจะมีแต่ปัญหารุมเร้าไม่หยุดหย่อน ถึงจะเป็นความจริงก็ตาม แต่คนพวกนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเยอะแยะเกินครึ่งของประชากรของประเทศ มันควรแล้วหรือที่เราต้องได้รับการปฏิบัติอย่างนี้ คนเพียงหยิบมือของคนไทยเรา กลับสามารถสร้างชื่อเสียงให้ไทยดังระบือถึงที่ไหนๆ สุดท้าย ผู้หญิงดีๆ มีการศึกษา เลยต้องพลอยซวยไปด้วย

จริงๆ ว่าไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงของสังคมไทยเรา โดยเฉพาะที่พัทยาเนี่ย เห็นกันจนชินตา ส่วนหนึ่งของเมืองไทยที่ทำให้ผู้หญิงไทยคนอื่นๆ ต้องมีปัญหามากมายกับการเดินทางไปไหนต่อไหน สาวไทยดูเหมือนจะเป็นสินค้าห้ามนำเข้าของประเทศอื่นๆ ถึงมันจะเป็นความจริงที่เห็นอยู่ตำตา แต่ดูเหมือนว่าความเป็นจริงข้อนี้มันยอมรับได้ลำบากเหลือเกิน



.. Posted by Hello



เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบากจริงๆ เชียว โดยเฉพาะหญิงไทย




ล่าสุดที่ได้ยินข่าวหนูแก เห็นว่าติดอยู่ที่กองตรวจคนเข้าเมืองอยู่ร่วม 4 ชั่วโมง มีสภาพเหมือนอยู่ในคุกก็ไม่ปาน แฟนเธอต้องเอาเงินค้ำประกันถึง 1 แสนบาทไทย เพื่อที่จะเป็นการรับรองว่าเธอจะไม่หนีไปไหน รวมถึงยังยึดหนังสือเดินทางของเธอไว้อีกด้วย คิดแล้วอนาถจิต - -"





Sunday, June 27, 2004

Coffee World

จั่วหัวมันไปงั้นแหละ เอารุปเก่าๆ ที่มีอยู่มาลอง post ดู สงสัยว่าทำไม มันถึงลงได้รูปเดียว งง ฮับงง

Green Tea Frappe Test Posted by Hello


ถ้าเราทำแบบนี้ล่ะ จะได้ไหมหว่า


24 Hours Food Court  Posted by Hello

งง งง เขาใช้กันยังไงเนี่ย


24 Hours Food Court  Posted by Hello


ทำไม มันส่งรูปทีละหลายๆ ใบไม่ได้หงะ - -"

ทดสอบ ทดสอบ


��������� ��ͺ�ٻ��� ^^ Posted by Hello

จะภาษาไทยได้ไหมเนี่ย ลองดูอีกรอบดิ๊

Saturday, June 26, 2004

My Birthday

22 มิถุนายน

ปีนี้ 28 แล้วสิเนี่ยฉัน ขยับเข้าใกล้เลข 3 อีกหน่อยแล้ว เอาเหอะ ฉันยังหน้าเด็กแหละน่า (เข้าข้างตัวเองอิ๊บๆ )
จริงๆ ก็ไม่ได้กังวลอะไรกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของวัย วันเกิดมันก็วันธรรมดาๆ เพียงแต่ปีนี้รู้สึกว่า เลข 28 มันสวยดี เลยนับวันถอยหลังอยู่หลายวัน

ที่แปลกปีนี้ คือ ทั้งแม่และฉัน ซึ่งเกิดในเดือนเดียวกัน วันเกิดได้ตรงกับวันที่เราเกิดทั้งคู่เลย แม่ของฉันเกิดศุกร์ที่ 11 ปีนี้ วันเกิดแม่ก็ วันศุกร์ ส่วนวันเกิดฉัน เขาบอกว่าคนหัวแข็ง ดื้อรั้นแบบฉัน ถ้าไม่ใช่วันอังคาร ก็วันเสาร์ วันเกิดครานี้ของฉันตรงกับวันอังคารพอดี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันจึงมาตรง แต่ก็ดี ที่วันเกิดตรงกับวันที่เราเกิด ^^

ฉันไม่ได้ทำอะไรมากมาย ไปวัดในตอนเช้า จริงๆ ง่วงแทบตาย แต่เอาเถอะเพื่อความสิริมงคลในชีวิต ถ้าปกติ อยู่ที่บ้านฉันก็ตื่นไม่ไหวหรอก มักจะไปวัดในตอนบ่ายๆ ถวายสังฆทาน แล้วนั่งคุยกับเจ้าอาวาส ตัวฉันก็แปลกเหมือนกัน ไม่ใช่คนแก่อะไรสักหน่อย แต่ชอบจะไปที่วัดแถวบ้าน นั่งคุยกับท่านเจ้าอาวาสทีละนานๆ ถ้าวันหยุดวันไหนฉันหายจากบ้านละก็ แม่จะรู้เลยล่ะว่าฉันอยู่ที่ไหน
วัดนี้ ถึงจะอยู่ในเขตตัวเมือง แต่ดูๆ ไปแล้วกลับกันดารเสียยิ่งกว่าหลายๆ วัดในต่างอำเภอ เคยคุยกับท่านเจ้าอาวาส บางวันไม่มีญาติโยมไปทำบุญ พระท่านก็ต้องเอามะละกอ มาทำส้มตำ นึ่งข้าวเหนียว ว่าง่ายๆ ว่าต้องทำกับข้าวกินเอง เวลาญาติโยมลืมนั่นแหละ ดูเหมือนว่าชาวบ้านแถวนั้นจะไปวัดกันในวันพระ และวันโกนกระมัง

ไม่รู้ว่าป่านนี้โบสถ์ที่ทางวัดสร้าง จะเสร็จหรือยัง ดูจะเป็นโบสถ์ที่สร้างนานที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา จะเป็นเพราะอะไรนะหรือ ก็เป็นเพราะวัดนี้ ทางวัดไม่มีเงินจะจ้างช่างมาทำ มีแค่เงินจ้างช่างให้มาทำตัวโบสถ์ ส่วนการติดกระเบื้องในโบสถ์นอกโบสถ์ พระในวัดท่านทำเองทั้งนั้น บางคราฉันเอาของไปถวาย หรือไปทำบุญ พระลูกวัดก็มักจะบอกว่า เดี๋ยวท่านเจ้าอาวาสมา พอถามว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็มักจะได้รับคำตอบว่าอยู่ที่โบสถ์ หากมองไปทางโบสถ์จะเห็นท่านเจ้าอาวาสง่วนกับการติดกระเบื้อง หรือเดินดูความเรียบร้อยอยู่เสมอๆ
จะว่าไปวัดนี้ก็อยู่ในตัวเมือง ทำเลที่ทางก็ออกจะดี มีฝั่งหนึ่งของวัดติดแม่น้ำ ถึงมีข่าวว่ามีงูเหลือมตัวใหญ่ หรือจระเข้ มาอยู่ริมๆ ฝั่งของทางวัดอยู่เนืองๆ เหมือนกัน
ตัวฉันก็แปลกใจอยู่ไม่หาย ว่าทำไมหนอวัดนี้ ถึงได้ลำเค็ญกว่าวัดอื่นขนาดนี้ ชาวบ้านร้านช่องแถวนั้น หากช่วงที่นอกฤดูการทำการเกษตร หรือคนที่ไม่มีเงิน มักจะพาลูกมาฝากให้บวชเรียนอยู่เสมอๆ นัยว่าฝากไว้กับวัดนี่แหละง่ายดี มีที่อยู่ที่กินพร้อม แถมยังได้เรียนหนังสือโดยไม่ต้องเสียเงินอีกต่างหาก ชีวิตคนเรามันไม่เท่ากันจริงๆ
ภาพสามเณรรูปน้อยๆ เดินเรียงแถวตามหลังพระผู้ใหญ่ในตอนเช้าๆ เป็นภาพที่ฉันแสนคุ้นตา พอสายๆ หน่อยระหว่างทางที่ฉันนั่งรถไปทำงาน ก็มักจะเป็นสามเณรเหล่านั้นเดินเรียงแถวไปโรงเรียนวัดที่อยู่ไม่ไกลจากละแวกนั้นเท่าไหร่นัก

ด้วยความที่เห็นอะไรแบบนี้ ฉันเลยมักจะไปที่วัดนี้บ่อยๆ ในตอนบ่ายของวันเสาร์หรืออาทิตย์ พร้อมกับนมครั้งละกล่องใหญ่ๆ หรือเครื่องดื่มต่างๆ เอาไปถวายท่านเจ้าอาวาสเผื่อถึงเณรเหล่านั้นด้วย

พอไปวัดบนเขาในเช้าวันนั้น อดสะท้อนใจ นึกถึงวัดนี้ไม่ได้ ทำไมหนอ วัดต่างๆ ที่พัทยา ดูจะเป็นพุทธพาณิชย์กันเหลือเกิน วัดที่ฉันเคยเหยียบเข้าไปครั้งหนึ่ง ฉันไม่คิดอยากจะไปทำบุญอีกเลย หากจะนับตู้บริจาคนับแต่หน้าประตูวัดถึงในอุโบสถแล้ว ฉันว่ามีไม่ต่ำกว่า 30 ตู้เป็นแน่เทียว แม่และพ่อฉันพยายามจะบอกว่า เราจะทำบุญอย่าไปนึกถึงเลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่เห็นทีไร ฉันก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ทุกที หรือจะเป็นเพราะแถวนี้ สีกาที่ไปทำบุญส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีรายได้ดีๆ งามๆ กันทั้งนั้น เลยทำให้อะไรๆ ในวัดก็ดูจะขายได้ .....






เอ หรือฉันบาปไปไหมเนี่ย ที่คิดอะไรทำนองนี้ เขาว่าทำบุญก็ทำไป เราไปคิดอย่างนี้จะได้บุญหรือเปล่าหนอ



Sunday, June 20, 2004

+ + + วิตกจริต + + +

ทำไมต้องวิตกจริต !!!!

ไม่อยากจะยอมรับว่า ใครมีความสำคัญ หรือบางทีคิดอีกแง่หนึ่งก็คงจะเป็นความคุ้นเคยกระมัง ปกติฉันไม่คิดนะว่า ฉันเป็นคนใจอ่อน หลายต่อหลายคนก็ว่าฉันร้ายอยู่ร่ำไป ดื้อก็เท่านั้น

แล้วทำไมคืนที่แล้วฉันนอนไม่หลับเล่า

จริงๆ แล้วฉันไม่อยากจะยอมรับว่า ใครคนนี้มีอิทธิพล หรือมีความสำคัญ ในเมื่อทุกวันนี้ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเราเป็นอะไรกัน อย่าถามเชียวนะ ว่าไอ้ที่คุยกันมาปีกว่าๆ เนี่ย เป็นอะไรกัน คำตอบฉันไม่มีให้หรอก ฉันเองยังสับสนอยู่หลายทีเลยว่าทำไม อะไรกันนักหนา แต่เอาเหอะไม่ได้เดือดร้อนอะไร อย่างที่ฉันบอกกับใครหลายๆ คนว่า ฉันไม่ได้คาดหวังอะไร กับการคุยกับใครสักคน ถึงแม้จะมีบ้างก็ตามที่รู้สึกไหวๆ ไปมั่ง ก็แหม คนนี่นา มันก็ต้องมีมั่งแหละน่า

อ้าวฉัน เขียนอะไรเนี่ย แล้วมันเกี่ยวกับที่ฉันวิตกจริตตรงไหนเล่า

เมื่อคืนนี้นอนไม่ใคร่จะหลับ จะว่าไปแล้ว ฉันเองก็หลับไม่ลงตอนกลางคืนเป็นนิจอยู่แล้ว จะแปลกตรงไหนละถ้าจะบอกว่า ไม่หลับ ก็เปล่านะ ไม่แปลก แต่ที่แปลกน่ะ ใจฉันต่างหากเล่าที่มันแปลก กระวนกระวาย พะว้าพะวัง คิดถึงใครคนที่หายไปหลายวัน หายไปไหนกันนะ ใจก็อดคิดถึงไม่ได้ คงเป็นเพราะความเคยชิน ความคุ้นเคยที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อ แต่เป็นเพราะใครคนนั้นทำให้อดคิดไม่ได้ อดรนทนไม่ไหว เลยยั้งมือ(ยั้งใจหรือเปล่าหนอ)ไม่ได้ missed call ไปหาเขาตามเคย เบอร์แรก ปิดเครื่อง
เอ้ย!!! เป็นไปได้อย่างไร ปิดเครื่อง สำหรับคนที่ไม่เคยปิดเครื่องอย่างเขานี่นะเหรอ อืม งั้นลองใหม่อีกเบอร์ที่เหลือ ปิดหมดทุกเบอร์ ....

นั่นแหละ สาเหตุความวิตกจริตของฉัน ครั้งหนึ่งฉันเคยบอกเขาว่า หากเขาหายไป หรือเป็นอะไรไปขึ้นมา ฉันคงไม่มีโอกาสได้รู้ ฉันฉุกคิดถึงบทสนทนากลางดึกของฉันและเขาไม่ได้ หรือเขาจะเป็นอะไรละเนี่ย ขับรถไปทำงาน รถคว่ำที่ไหนหรือเปล่า(วะ) หรือมีใครดักฉุดไปทำสามีหรือเปล่าเนี่ย ไอ้ความคิดฉันแต่ละอย่างไม่มีดีทั้งนั้นแหละ ....ฉันเฝ้าคิด เฝ้าสงสัย ทั้งยังกังวลจนข่มตาหลับไม่ลง จนแสงแรกของตะวันส่องแสงเข้ามาในห้องเรื่อๆ นั่นแหละ ฉันถึงผล็อยหลับลงได้

ตื่นขึ้นมาตอน 10 โมงกว่าๆ เพราะเสียงโทรศัพท์เพื่อนสาวตัวดี พยายามข่มตาหลับต่อ แต่ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เที่ยงกว่าๆ ฉันลุกขึ้นมา เพราะจะนอนก็หลับไม่สนิท จะทำไงดีนะเนี่ย ทำธุระส่วนตัวเสร็จ มานั่งมองโทรศัพท์ ลองอีกทีดีไหม เผื่อเขาจะอยู่กับใคร อาจจะไม่สะดวกที่จะเปิดเครื่องตอนกลางคืน กลั้นใจกดหมายเลขแรก ไม่ติด (T_T) เศร้าแล้วฉัน จะทำอย่างไรต่อดี กดอีกเบอร์ ครานี้เป็นเบอร์ของเครือข่ายที่แรงชัดทั่วไทย ครอบคลุมทั่วประเทศ เงียบ ทำไมไม่ดังสักที อ๊ะ!! ฉันอุทานด้วยความดีใจ ติดแล้ว แต่ให้ดังนานกว่า 1 ครั้งก็ไม่กล้า missed call ตามเดิมแล้วกัน

ฉันนั่งมองโทรศัพท์อยู่อีกพัก เริ่มคิดว่าทำไมฉันถึงต้องเกิดอาการวิตกขนาดนั้น ฉันเคยคิดว่าเป็นแค่ความคุ้นเคย ทำไมฉันถึงต้องมีอาการแบบนี้ แต่คิดอีกที ก็คงเป็นเพราะความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้เขา ถึงจะไม่มากมายอะไร แต่ก็คงเพียงพอให้เรากังวัลแบบนี้กระมัง (คิดเข้าข้างตัวเองมากเลยฉัน)

"ปิ๊บ ปิ๊บ" เสียงข้อความเข้า "อยู่ต่างจังหวัด(ภาคอีสาน)"
เอาเหอะนะ ได้รู้ว่าอยู่ไหน ปลอดภัย ฉันก็ยิ้มได้แล้วล่ะ ไม่ตายก็ดีแล้ว






อย่าถามว่าฉันคิดอย่างไร ฉันไม่รู้ว่าคิดอย่างไรเหมือนกัน ฉันมีขีดมีเส้นของตัวเอง ฉันอยากให้มันอยู่แค่นี้ ฉันเองกำลังพยายาม....