Monday, September 13, 2004

เด็กในวันนี้......

มีเหตุต้องเดินทางไปเมืองชลฯ อีกแล้ว แต่ก่อนจะได้ออกจากบ้านก็ขลุกขลักหลายประการเสียจนร่ำๆ จะยกเลิกการเดินทางเสียงั้น อารามรีบจัด ลืมข้าวของที่เตรียมไว้ไปให้พี่เขาเสียนี่ มารู้สึกตัวอีกที ก็นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่บนรถเสียแล้ว คนเรานี่น้อ พอรีบละก็ ให้เตรียมไว้พรักพร้อมแค่ไหนก็ยังมีโอกาสลืมจนได้สิน่า

ว่าไปแล้วก็เสียดายไม่ได้เอาของที่เตรียมไว้ตั้งหลายวันให้พี่เขาเอง กว่าจะได้เจอคราวนี้ก็ร่วมครึ่งปี การลาจากนี่ ไม่ใช่สิ่งที่พึงประสงค์หรือทำให้รู้สึกดีเลยจริงๆ

อย่างที่ฉันเกริ่นไว้เสียแต่ทีแรก ว่า มันขลุกขลักเหลือกำลัง ครั้นพอขึ้นมานั่งอยู่บนรถ รถเจ้ากรรมก็หวานเย็นเหลือเกิน เดชะบุญยังพอมีที่เป็นรถแอร์ ไม่อย่างนั้น ฉันคงกลายเป็นหมูย่าง หมูอบเสียก่อนจะถึงที่หมาย เบื่อการนั่งรถแบบนี้จริงๆ จากพัทยา ไปถึงเมืองชลฯ กินเวลาร่วมสองชั่วโมง ก็เพราะรถเขาจอดกันเป็นระยะๆ แป๊บก็จอด หน่อยก็จอด คนไม่มีฉันก็ไปหาคนมาขึ้นจนได้ พิรี้พิไรกันเสียจนฉันแอบด่าในใจแรงๆ ไปหลาย ปากดีน่ะฉัน แต่ในใจนะ ขณะที่หงุดหงิดใจกับการใจเย็นและอาการหวานเย็นของรถโดยสารอยู่นั้น ก็เห็นครอบครัวหนึ่ง คงใช้คำว่า ครอบครัวได้นะ เพราะมียาย มีน้า และหลานสาวตัวเล็กๆ อีกสองคน เด็กสองคนที่เห็น ลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คงจะเป็นลูกคนละพ่อละแม่ ไม่ใช่พี่น้องกันเป็นแน่แท้ คนหนึ่งท่าทางอายุน้อยกว่า ไม่เกิน 3 ขวบเป็นอย่างมาก ผิวค่อนข้างขาว เอาเป็นว่าถ้าเทียบกับอีกคนหนึ่งที่อายุมากกว่า ขาวกว่าก็แล้วกัน ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งนั้นผิวคล้ำมากทีเดียว แต่ใส่ชุดสีบานเย็น ฉันมองแบบอื้มม ใครกันน้อ หาเสื้อผ้าให้เด็กใส่ แต่คิดอีกที เด็กวัยนี้ไม่แปลกที่ชอบเสื้อผ้าสีสดใส เด็กขนาดนี้เขาคงไม่ได้มานั่งคิดถึงการแต่งตัวของตัวเอง กับบุคลิกหรอก คงอีกนาน กว่าหนูแกจะโต ทีแรกฉันมองเด็กคนนี้เพราะสะดุดตากว่า (ในสีเสื้อผ้า) สักพัก ผู้เป็นยายได้ที่นั่งด้านหลังฉัน เลยดึงเด็กคนนั้นมานั่งกับแก แต่คนเป็นน้า ได้ที่นั่งเยื้องๆ จากฉันไป ฉันเลยได้มองเด็กตัวเล็กกว่าเต็มๆ ตา ที่ต้องมองเต็มๆ ตา เพราะเสียง !!!

ปกติแล้ว เวลาฉันโดยสารรถประจำทาง ฉันมักจะนั่งเฉยๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง หรือไม่ก็หลับเสียมากกว่า ใครเดินผ่านเข้าออก ฉันก็มองบ้าง แล้วก็จบ แต่วันนี้ไม่เหมือนวันปกติของฉัน มันเป็นวันอปกติโดยแท้ เสียงที่ดึงความสนใจของฉันได้ชะงัดนัก คือ เสียงกรีดร้องของเจ้าตัวน้อย ฉันจึงหันไป พร้อมกับภาพและเสียงที่ได้ยินแล้วนั่งอึ้งอยู่นานสองนาน ผู้เป็นน้าพยายามจับตัวหลานให้มานั่งด้วย แต่หนูน้อยคนนั้นสะบัดตัวหนี พร้อมกับพูดว่า "อย่ามายุ่งกับกรู"

O_o'' ฉันนึกในใจ เอ้ย นี่มันผู้ใหญ่ในร่างเด็กหรือเปล่าเนี่ย ทำไม เด็กแค่เนี้ย วัยที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนแน่ๆ ถึงพูดจาหยาบคายได้ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพียงภาษาพ่อขุนที่เด็กคนนี้ใช้ หลังจากแผลงฤทธิ์อยู่พักใหญ่ ฉันได้ยินสัตว์เลื้อยคลาน ตระกูลที่คนไทยเรามักจะบอกว่า เป็นสัตว์อัปมงคลออกจากปากหนูน้อยคนนี้มาหลายคำ ฉันยังงงๆ พร้อมกับอึ้งๆ หลังจากนั่งคิดอยู่พักใหญ่ หากเด็กคนนี้โตพอจะเข้าโรงเรียน ฉันคงพอจะเดาได้ว่า คำหยาบเหล่านี้มาจากเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เพราะเด็กร้อยพ่อพันแม่ มาจากที่ต่างๆ ปนเปอยู่ด้วยกัน แต่นี่ไม่ แล้วทางไหนเล่าที่เด็กน้อยคนนี้จะเอาคำพูดพวกนี้มา นึกๆ ไปแล้วคงไม่พ้นครอบครัว มันทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ครอบครัวนี่เป็นเบ้าหลอมเด็กได้ดีแท้ๆ เทียว ถึงแม้จะไม่ได้สอนให้พูด หรือทำ แต่พฤติกรรมผู้ใหญ่ในครัวเรือนเป็นแบบไหน ฉันเดาได้ไม่ยากเลย จากพฤติกรรมของเด็กคนนี้ เด็กในวันนี้ ผู้ใหญ่ในวันหน้า ฉันไม่รู้ ไม่กล้าจะคาดเดา ว่าอนาคตของเด็กคนนี้จะเป็นแบบไหน แอบๆ หวังว่า พอถึงวัยเข้าเรียน โรงเรียนจะกลายเป็นเตาหลอมตัวใหม่ที่ช่วยหล่อให้เด็กคนนี้ต่างจากวันนี้....






ครอบครัว ใครว่าไม่สำคัญเนี่ย ....