Tuesday, August 17, 2004

มักง่าย

ห่างหายจากการ update blog ไปหลายเพลา จะด้วยเพราะไม่มีอะไรเขียน เพราะมันตันๆ ตื้อๆ คิดอะไรก็ไม่ออกอีกแล้ว หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ หรือเพราะสับสน งงๆ หว่า


วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีโอกาสไปเยือนเมืองชลฯ หลังจากที่อยู่จังหวัดนี้มานานหลายปี แต่ฉันมันคนประเภทที่ว่า อยู่ที่ไหนก็ที่นั่น ทำงานมันอย่างเดียว ไม่ค่อยจะมีเวลาไปเที่ยวไหนๆ รวมถึงว่า เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยจะมีเวลาตรงกัน เพราะเวลางานที่มันต่างกัน เลยดูเหมือนว่าเราอยู่คนเดียว จะทำอะไร ก็คนเดียว ไปซื้อของก็คนเดียว อยู่คนเดียวมาจนชิน พอถึงเวลาบอกจะมีใคร ก็ชักยังไงๆ อยู่ เอ้ย นอกเรื่องแล้วฉัน นัยของฉันมันหมายความว่า พออยู่คนเดียวนานๆ เข้า โอกาสจะไปไหนมาไหน หรือไปเที่ยวแถวๆ นี้ไม่ค่อยมีหรอก เพราะทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ แถมตัวเองก็ยังดันเป็นพวกนกฮูกเสียนี่ กลางคืนไม่หลับไม่นอน นอนกลางวัน ตื่นบ่าย อย่างนี้จะหาเวลาที่ไหนไปเที่ยวเล่า ถ้าไม่หยุดงาน แต่ในที่สุด สวรรค์ก็เข้าข้างฉัน ได้ฤกษ์ไปเสียที จริงๆ มีนัดกับพี่สาวคนหนึ่ง หลังจากไม่เจอหน้าแกมาร่วมปี แกเพิ่งจะกลับจากต่างประเทศ พอดีว่าช่วงนี้ปิดเทอมของแก เลยกลับบ้าน การทัวร์ของฉันจึงเริ่มขึ้น

ฉันนัดพี่เขาไว้ 11.30 ครึ่ง เพราะกะว่า จากที่นี่ไปเมืองชลฯ คงสักประมาณชั่วโมงหนึ่ง ไม่น่าจะขาดเกินมากน้อยเท่าไหร่ ที่ไหนได้ ออกจากบ้านสายกว่าความตั้งใจ เพราะโอ้เอ้ไปหน่อย รีบร้อนซ้อนมอไซด์รับจ้างไปขึ้นรถประจำทางที่ปากทาง ทันทีที่ขึ้นไป ได้ที่นั่ง รู้สึกว่ากว่ารถจะออกทำไมมันยื้อๆ ยักๆ อย่างนี้ว้า เมื่อไหร่จะไปๆ เสียที คนยิ่งสายยิ่งรีบ ไหงมาเจออะไรแบบนี้เนี่ย งึมๆ งำๆ บ่นอย่างขัดใจอยู่คนเดียว แต่ไม่กล้าบ่นเสียงดังหรอกนะ คงเพราะฉันไม่คุ้นเคยกับการขึ้นรถโดยสารประจำทางแบบนี้ ปกติเวลาฉันไปไหน ฉันมักขึ้นรถทัวร์ป. 1 ไม่นิยมขึ้น ป.2 ป. 3 หรือป.อื่นๆ เป็นอันขาด ก็ด้วยนิสัยใจร้อนของฉัน มักทำอะไรเร็วๆ อะไรที่ช้าๆ มักเป็นที่ขัดใจฉันนักล่ะ สุดท้ายฉันถึงเมืองชลฯ ตอนเที่ยงกว่าๆ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กับการไปสายของตัวเอง ปกติฉันเป็นคนที่ไม่ชอบคนที่ไม่ตรงต่อเวลาเป็นที่สุด แล้วพอตัวเองเป็นเอง รู้สึกไม่ค่อยดีเลยจริงๆ คราวหน้าถ้าฉันจะไปทัวร์แบบนี้อีกคงต้องเผื่อเวลาขึ้นมาอีกหลาย ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องอารมณ์เสียกับอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงยังต้องได้ชื่อว่าเป็นคนไม่รักษาเวลา ถือว่าเป็นบทเรียนของฉัน ในการเดินทางแบบนี้


พี่เขาพาฉันลัดเลาะ เดินเลียบถนนไปตามที่ต่างๆ ซึ่งตัวฉันเองยังไม่คิดเลยว่า วันนั้นฉันจะเดินอะไรได้ขนาดนั้น กลับมาถึงบ้าน พอบอกใครต่อใครว่า ฉันเดินจากตรงนี้ไปถึงตรงไหน ทุกคนจะอึ้งๆ พร้อมกับคำถามที่ว่า เดินเข้าไปได้อย่างไร ก็ไอ้ตอนเดินรู้ตัวที่ไหนเล่าว่าเหนื่อย เพราะเล่นจอดเป็นระยะๆ เหมือนรถสองแถว เห็นตรงไหน ร่มๆ ก็นั่งพัก ยืนพัก ถ่ายรูปบ้าง พี่เขามีจุดหมายอยากจะพาฉันไปดูทะเล ของเมืองชลฯ เอ ทะเลพัทยาก็มีนะ ทำไมไปถึงเมืองชลฯ เรายังต้องดูทะเลอีกล่ะ เอาน่า ไกด์พาไปแล้ว ฉันก็ตามไป คุยกันไปพลาง เดินไปพลาง มันเพลินดีเหมือนกันนะ มันช่วยให้เราลืมความเหนื่อย เสียแต่ความร้อนนี่ลืมไม่ได้นี่สิ ไม่งั้นคงจะดีกว่านี้ อย่างไรก็ดี วันนั้นสวรรค์ก็ดูจะเป็นใจเหลือเกิน ไม่มีแดดเลย มีบ้างที่อ้าวๆ แต่พอเราเดินมากๆเข้า มันก็ร้อนเป็นธรรมดา กว่าจะถึงจุดหมายในวันนั้น เล่นเอาลิ้นแทบห้อย แต่พอไปถึง แทนที่ความเหนื่อยจะหายไป เปล่าหรอก ทะเลเมืองชลฯ ไม่ได้สวยงาม หรือบรรยากาศดีอะไรเล้ย เพราะภาพที่เห็นเป็นภาพทะเลแห้งๆ เพราะน้ำมันลด แล้วยังมีไม้ปักๆ แสดงให้เห็นว่าเนี่ย "ป่าชายเลน" นะ พี่เขาถึงกับบ่นอุบ ตายแล้วทะเลไม่มีน้ำ คงจะเสียดายเวลา ปนกับความเหนื่อย ที่หยิ่ง ไม่ยอมใช้บริการรถรับจ้างที่เรียกร้องอยู่สองข้างทางระหว่างเดิน ไปถึงแล้วไม่มีอะไร แต่ก็เอาเถอะ ยังได้บรรยากาศทะเล เราหาที่นั่งพักคุยกันเล่นสักพัก จริงๆ ลมมันก็เย็นสบายดีออก นั่งนานๆ มีเผลอหลับได้เหมือนกันนะนั่น ความแตกต่างที่บอกได้คือ กลิ่นของทะเล ที่นั่นกลิ่นของทะเล ไม่สกปรก ไม่คาวจัดเหมือนของพัทยา จะด้วยฉันเป็นคนจมูกดีเกินไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่ฉันแยกแบบนี้ได้จริงๆ ถึงทะเลที่นั่นจะดูไม่สวย ยามน้ำลงแบบนั้น แต่กลิ่นมันให้ความสดชื่นต่างกัน แต่อย่างไรเสีย ดูเหมือนว่า คนไทยส่วนใหญ่จะยังคงติดนิสัยมักง่ายกันเหลือเกิน ฉันมองลงไปดูทะเล แทนที่จะเห็นดินเลน พร้อมกับปูตัวเล็กๆ วิ่งไปมา สิ่งแปลกปลอมที่มันมีให้เห็นอยู่เกลื่อนตา ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไม คนเราถึงมักง่าย ทิ้งของกันลงน้ำ ลงที่แบบนี้ได้
http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F2962428/F2962428-15.jpg
ดูเหมือนว่าจะเป็นธรรมชาติของคนไทยหลายๆ คนที่ทันไหนทันทิ้ง เอาง่ายเข้าว่า โดยไม่ได้สนใจว่าจะมีผลกระทบอะไรต่อใครเท่าไหร อย่างตอนที่ฉันนั่งรถมานั่นปะไร ดูเหมือนว่า จะเป็นกิจการในครอบครัว พ่อคนขับ แม่คนเก็บเงิน ลูกสาวนั่งให้กำลังใจ พร้อมทั้งนั่งกินผลไม้ไปด้วย ดูท่าทางเขาจะ enjoy eating กันดี ด้วยความที่ฉันนั่งด้านหน้า เลยเห็นอะไรๆ ไปเสียหมด ที่ขัดใจฉันนักหนาดูเหมือนจะเป็นนิสัยที่เอาง่ายเข้าว่าของครอบครัวนี้เหลือเกิน ลูกสาวกินผลไม้เสร็จ ทิ้งถุงไว้บนรถ ฝ่ายแม่เห็นไม่งามตา คว้าถุงมา แล้วเปิดหน้าต่างรถโยนทิ้งออกนอกรถไป ใครอยากรับเศษฉันก็เชิญ ใครอยากซวยขับรถตามหลังมาก็ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดฉัน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดอะไรเลยกับการทำแบบนี้ ท่าทางจะทำเป็นนิสัยไปแล้วหรือเปล่า ไม่รู้ ฉันนั่งมองด้วยความรู้สึกแปลกๆ พร้อมกับสงสัยทำไมหนอคนเรา ทำอะไรมักง่ายไม่รับผิดชอบแบบนี้ได้ดีจริงๆ




คนไทยส่วนใหญ่ ไม่รักษาสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ มีเท่าไหร่มันก็ถึงแย่ลงไปทุกที ก็เพราะนิสัยมักง่ายแบบนี้นี่เล่า