Monday, October 24, 2005

ความคิดผู้หญิง / ความคิดผู้ชาย




วันนี้ คงจะเป็นครั้งแรกที่จะบ่นสองเรื่องในครั้งเดียวกัน combine มันเสียเลย หลังจากคันมืออยากจะเขียน อยากจะบ่นเรื่องความขี้เกียจ หรือจะเรียกว่าความเห็นแก่ตัวของผู้ชายมาหลายวัน ประจวบกับหงุดหงิด กับใครบางคน เบื่อกับความคิดอะไรบ้าๆ ของเจ้าหล่อน เปล่าหรอก ใช่ว่าตัวฉันเองจะดีเลิศ ความคิดดี ประพฤติดีกว่าใครๆ เขา ก็คนปกติธรรมดาๆ ที่สามารถหาได้ตามตลาดนัดทั่วๆ ไปนั่นแหละฉัน เพียงแต่ว่าเรื่องบางเรื่อง ความคิดบางอย่างมันก็อาจจะต่างๆ จากชาวบ้านเขาอยู่สักหน่อย แต่วันนี้ขอสักวันเถอะ ขอบ่นผู้หญิงบางคน กับผู้ชายเห็นแก่ตัวบางส่วนสักที อาจจะอารมณ์เฟมินิสต์ไปสักหน่อยวันนี้ ถ้าไปเหยียบหางใครเขาก็ขออภัย (ถ้ามีใครอ่านนะ อิอิ)

ว่ากันด้วยเรื่องของผู้หญิงก่อนแล้วกัน ไม่ใช่อะไรมากมาย แค่คนรู้จักอีกคนหนึ่งที่มานั่งร้องห่มร้องไห้ ด้วยเรื่องที่ฉันถือว่ามันบ้าบอไร้สาระสิ้นดี มาบ่นกับฉัน แทนที่ฉันจะปลอบใจ กลับโดนฉันด่ากลับไป ไม่รู้คุณเธอจะกลัว หรือคิดได้ เลยเลิกร้องไห้ อันนี้ฉันก็จนด้วยเกล้า ไม่ให้บ่นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแม่เจ้าประคุณเกิดอาการนอยด์แหลก เพราะสามีไปทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานที่เคยกิ๊กกันอยู่สมัยสามีเธอยังทำงานอยู่ที่เมืองไทย แต่เขาก็ไม่ได้ไปคนเดียว ไปกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อีกหลายคน ที่สำคัญ คุณเธอสองคนแต่งงานกันแล้ว จะมาคิดอะไรมากมายนักหนาฉันก็ไม่รู้ หรือมันเป็นนิสัยของผู้หญิงทั่วๆ ไปที่ชอบเก็บเอาเรื่องเก่าๆ มาฟื้นฝอยมองหาตะเข็บกันนะ หรือฉันมันตัวประหลาดเนี่ย

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า คุณสามีโทรมา แล้วรายงานภริยาที่อยู่เมืองไทยว่า วันนี้ทำงานเสร็จแล้วไปทานข้าวกับคนนี้ๆๆ นะ เรียกว่าเป็นรายงานแจงละเอียดยิบว่าไปกับใครบ้าง เหลือแต่จะบอกว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นมีอะไรเท่านั้นเอง แต่แทนที่คุณภริยาจะดีใจที่สามีรายงานตัวเสียแบบนั้น เธอกลับเกิดอาการคิดมาก เพราะมีใครบางคนเคยบอกเธอไว้ว่า สมัยสามปีก่อนที่สามีจะมาเจอกับเธอนั้น สามีเธอเคยชอบๆ กับเพื่อนร่วมงานคนนี้ แต่ๆๆ มันเป็นสิ่งที่จบไปแล้วนี่นา ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักหรอก ความคิดของผู้หญิงที่มีคู่แล้วต้องอยู่ห่างกันน่ะ เพราะจากที่ฉันเห็นคนคู่นี้มาตลอด ฝ่ายชายเขาแสดงออกสม่ำเสมอว่ารักและแคร์ฝ่ายหญิงมากเพียงใด คำน้อยก็ไม่เคยมีต้องให้เสียใจ ให้เกียรติ และดูแลสาวเจ้าด้วยดีตลอดมา กระทั่งจะไปไหนยังต้องคอยบอกกันแทบจะทุกฝีก้าว ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำ แต่เขาก็ยังทำ เธอวางหูจากสามีเสร็จ แล้วเริ่มนั่งบ่น ทำไมต้องมาแต่งงานกับคนมีอดีตแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ เดี๋ยวคนนั้นมาบอกว่า แฟนเก่าเขาเคยถามหา แฟนเก่าเขาอยากให้อภัย นี่ก็มีกิ๊กเก่าที่ทำงานที่เดียวกันอีก ไอ้ฉันครั้นอดรนทนไม่ไหว ต่อมเจือกมันทำงาน เลยถามไปคำว่า "นี่เธอ ว่าแต่เขา ตัวเธอน่ะ อดีตไม่มีหรือไง" จริงๆ ก็ใช่เรื่องของฉันหรอกนะ แต่มันหงุดหงิด มานั่งคร่ำครวญเรื่องอดีตที่มันผ่านมาแล้วอยู่ได้ ไม่เข้าใจหรือยังไงนะ ว่า สิ่งที่ทำให้มีอนาคตร่วมกันได้ ไม่ใช่อดีต แต่เป็นปัจจุบัน เป็นวันนี้ต่างหาก คิดมากกับสิ่งที่มันจบไปแล้ว ได้อะไรขึ้นมา นอกจากความกังวลใจ ยิ่งแต่งงานกันแล้ว ความเชื่อใจ ความเข้าใจควรจะเป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ไม่ใช่ฤา หรือฉันเข้าใจผิด??? จริงๆ จะว่าไปแล้ว ไอ้ที่อดเจือกกับเรื่องส่วนตัวชาวบ้านเขาไม่ได้นั้น


ส่วนหนึ่งคงจะมาจากสาเหตุของความเห็นแก่ตัวของผู้ชายบางส่วน เรื่องก็ไม่พ้นจากการที่ต้องรับฟังเรื่องชาวบ้านเขาอีกนั่นแหละฉัน เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันมากพอคูคนหนึ่ง เกิดท้องขึ้นมา ท้องแบบมีพ่อ แต่ยังไม่ได้แต่งงาน แถมพ่อของเด็กในท้องไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ที่สำคัญคือ การที่เธอตั้งท้องครั้งนี้ เธอไม่สามารถเก็บเด็กไว้ได้ ด้วยเหตุผลทางสังคมหลายๆ ประการ ถึงแม้ว่า พ่อของเด็กในท้องเธอจะอยู่ในฐานะที่สามารถดูแลตรงนี้ได้ก็ตาม บางทีสังคมก็ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้หญิงหลายๆ อย่างเหมือนกันนะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นของฉันในวันนี้ ที่ฉันไม่เข้าใจ และไม่พอใจ ถึงแม้จะอยู่ในฐานะคนนอก แต่ความที่สนิทกับเจ้าตัวมานานพอดู ทำให้ฉันไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วถึงจะไม่รู้จักกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย ฉันก็คงมีข้อกังขา และเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี


เธอพลาดตั้งท้องเพราะอะไร เพราะลืมกินยาคุม นั่นแหละ คำถามฉันจึงตามมา ทำไมต้องให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับผิดชอบกับเรื่องการคุมกำเนิด ทำไมต้องให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเสียใจ ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวกับการกระทำแบบนี้ของฝ่ายชาย ในเมื่อตอนมีอะไรกัน มันเกิดจากความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย เป็นความพอใจของทั้งคู่ที่จะตกลงมีอะไรกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไม ต้องเป็นผู้หญิงที่เป็นฝ่ายป้องกันเพียงฝ่ายเดียว ทำไมผู้ชายที่เป็นผู้ร่วมมือในกิจกรรมนั้นจึงไม่ยอมใช้วิธีการใดๆ ในการป้องกันเลย ซ้ำยังบอกว่า เพื่อความสนุกของตน ตกลงว่าฝ่ายหญิงเลยต้องหาวิธีป้องกันตัวเองอย่างนั้นรึ กรรมเลยตกแก่ฝ่ายหญิงไป ที่ดันไม่มีปากมีเสียง เป็นห่วง กังวลกับความรู้สึกของคู่ตนขนาดนั้น ฉันเลยบอกไงว่าไม่ชอบใจ ค่อนข้างจะขุ่นเคืองในกับพฤติกรรมของฝ่ายชายด้วยซ้ำไป ทำไมผู้ชายถึงเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสนุกความสุขส่วนตัวของตน จนผลักภาระให้กับผู้หญิงตัองมานั่งรับผิดชอบตัวเอง ถ้าหากเธอไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ต้องดูแลตัวเองนะ ฉันไม่เกี่ยวนะ แต่อีตอนทำ ละทำกันสองคน ไม่ยักกะบอกว่า ฉันไม่เกี่ยว ตลกดี ผู้ชายแบบนี้มีค่อนข้างจะเยอะบนโลกนี้ นับวันจะยิ่งมีเยอะขึ้นด้วยหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะ คนดีๆ ก็มี แต่เดี๋ยวเหมือนพวกเห็นแก่ตัวมีแต่จะมากขึ้น จะทำอย่างไรได้ล่ะ ผู้หญิงอยากรักแล้วก็ระวังตัวเองกันต่อไปแล้วกัน


เกิดเป็นผู้หญิงนี่มันลำบากจริงน้อ................