Saturday, July 31, 2004

วันพระ

 

วันนี้ 31 กรกฎาคม 2547


วันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม เป็นวันเสาร์พอดิบพอดี ถือว่าเป็นวันดีเนอะ เพราะว่า วันพรุ่งนี้วันที่ 1 สิงหาคม จะได้เป็นวันใหม่ วันแรกของการเข้าพรรษาของชาวไทยพุทธเรา เพราะงั้นวันนี้ก็คือวันอาสาฬหบูชานะสิ


จริงๆ ฉันจำไม่ได้หรอก ว่าความสำคัญของวันอาสาฬหบูชานั่นเป็นอย่างไรกันแน่ มันเลือนๆ ลางๆ ในความรู้สึก เอ ฉันชักจะแย่แล้วสินะ คงเพราะห่างวัดห่างวานาน ไม่ได้เข้าวัดแล้วนึกถึงความสงบ หรือความรู้สึกที่เข้าวัดแล้วอิ่มใจมานานแล้ว บอกตรงๆ คือฉันไม่ศรัทธากับวัดที่เป็นพุทธพาณิชย์แบบทุกๆ วันนี้ หรือตามแบบที่ฉันเห็นจนเจนตาแถวนี้เท่าไหร่ เวลาย่างกรายเข้าวัดแบบนี้ทีไร ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไปวัดมาเลยสักครั้ง (หรือฉันคิดอะไรมากไปหรือเปล่านี่ - -")


วันนี้ก็เช่นกัน ฉันตื่นแต่เช้ากว่าปกติ ประมาณ 9 โมงเช้า (เวลาเช้าฉันล่ะ) มาอาบน้ำสระผม แต่งตัวลงมาจะไปทำบุญ เนื่องในวันอาสาฬหบูชานี้ ด้วยเพราะฉันนัดกับเพื่อนไว้ ว่าจะไปทำบุญกัน (กะว่าชาติหน้าคงได้เจอสองคนนี้อีกร่ำไปแน่ๆ) แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม ถ้าเราจะเจอเพื่อนดีๆ ทื่ถึงแม้จะไม่ใช่ดีที่สุด แต่ก็นับว่าเป็นมิตรที่ดีกับฉันเสมอมา เรานัดกันที่ร้านของฉัน แล้วเราก็เดินไปตามซอยเล็กๆ ข้างบ้านฉัน เพื่อจะไปขึ้นรถสองแถวที่ริมหาดเพื่อจะไปตลาดเพื่อซื้อของไปทำบุญกัน ระหว่างทางที่เราเดินในซอยเล็กๆ นั้น พลันฉันก็หงุดหงิดเหลือกำลังกับความเห็นแก่ตัวของคน เราเจอกับรถขนปูนที่มาเทปูนตรงบริเวณที่กำลังก่อสร้างคอนโดหรูกลางซอย แต่ด้วยความที่ซอยข้างบ้านฉันนี่มันเล็กเหลือเกิน ขนาดรถยนต์วิ่งได้คันเดียว หากจะสวนกันก็ต้องมีคันใดคันหนึ่งหลบอยู่ตรงริมถนนแบบตัวลีบสุดฤทธิ์ (ถ้ารถยนต์มันลีบตัวได้นะ) แต่ไอ้สิ่งที่ฉันเห็นเนี่ย รถขนปูน ไม่ใช่คันเล็กๆ นะ คันใหญ่คับถนน ชนิดที่เรียกว่าพวกฉันต้องเข้าแถวเรียงหนึ่งเดินผ่านบริเวณที่รถขนปูนนั้นกำลังทำงาน ไหนจะรถคันใหญ่เท่าถนน ไหนจะคนงานที่ตะโกนโหวกเหวกให้คนให้รถอื่นๆ หลบไป แล้วไม่ใช่มีแค่คันเดียวเสียด้วยสิสำหรับรถขนปูน เพราะเขาต้องเทกันไม่ต่ำกว่า 10 เที่ยวเป็นอย่างน้อย ฉันละขุ่นใจเสียจริงๆ จะไม่ให้ฉันเรียกว่าความเห็นแก่ตัวของคนไปได้อย่างไร ช่วงระหว่างที่พวกคนงานกำลังตอกเสาเข็ม น้ำที่เขาสูบขึ้นมาจากพื้นดินมันก็นองเต็มซอยเล็กๆ แบบนี้ ไม่ต้องอาศัยฝนฟ้าช่วยสักนิดเดียว ซอยข้างบ้านฉันก็น้ำท่วมได้ ฉันมักจะค่อนอยู่บ่อยๆ ว่าเออดีแฮะ ฝนไม่ตก น้ำก็ท่วม อุดมสมบูรณ์ดีจริงๆ ซอยนี้ มันเป็นซอยที่ฉันมักจะใช้สัญจรผ่านอยู่บ่อยๆ มาเจอแบบนี้เข้าฉันก็หงุดหงิดรำคาญเต็มที จะทำอะไร ไม่ได้นึกถึงคนอื่นๆ ที่เขาอยู่ร่วมกัน หรือต้องใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เลย ก็อยากดูนักล่ะว่าจะขายออกไหม คอนโดห้องเล็กนิดเดียวดันผ่าขายซะแพง ถ้าเป็นตึกแถวราคาขนาดนี้ยังพอฟัง แต่จะว่าไปก็คงไม่แน่แฮะ เพราะพัทยาเนี่ย อะไรๆ ก็ว่าได้ ตึกราคา 35 ล้าน ยังขายออกสบายๆ ถ้าหากทำเลดีนะ แต่คอนโดเนี่ย ฉันยังกังขาอยู่ว่าจะขายได้แน่รื้อ ก็คงต้องคอยดูต่อไปล่ะ


เออ แฮะฉันออกนอกความตั้งใจอีกล่ะ เอาเป็นว่า หลังจากพวกฉันฝ่าฝันกับเส้นทางนรก (ในตอนนั้น) มาจนถึงท้ายซอยที่ถนนริมหาดได้แล้ว เราก็ต่อรถสองแถวเพื่อไปตลาดกันทันที เราซื้อหลอดไฟไปถวาย แทนที่จะเป็นเทียน เพราะเห็นว่าหลอดไฟคงมีประโยชน์กับทางวัดมากกว่าจะถวายเทียนพรรษา เราหอบหิ้วกล่องหลอดไฟที่เหมายกกล่องรวมถึงผลไม้บางอย่างไป จริงๆ มันเลยเพลแล้วนา พระท่านจะรับไหมน้อ แต่เอาเหอะ หิ้วๆ ไปเสียหน่อย ถ้าไม่รับก็เอากลับมากิน คิดกันแบบนี้นี่เล่าถึง enjoy eating กันทั้งหมดแบบนี้ :P ข้ามถนนมารอรถสองแถว เรียกมาได้คันหนึ่ง ต่อราคาไปกลับ 400 ร่ำๆ อยากไม่ไปทำบุญ วัดนี้ห่างออกมาไม่ถึง 30 กิโลด้วยซ้ำ ทำไมมันแพงแบบนี้ฟะ แต่พี่คนที่ไปด้วยบอกว่า น่า จะไปทำบุญอย่าคิดอะไรมากเลย ก็ไม่ได้อยากจะคิดอะไรมากหรอกนะ แต่ราคามันแพงเกินไปจริงๆ แต่เอาเหอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ตามเขามาแล้วนี่ จำต้องตามเขาต่อไปให้ถึงที่สุด ทำไงได้ละ(ฟะ)

 


20 นาทีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ........


สองแถวพาเรามาถึงจุดหมายปลายทางด้วยความปลอดภัย พอรถเลี้ยวเข้าประตูวัดเท่านั้นแหละ ไอ่ความคิดแผลงๆ ของฉันมันก็แย่งกันผุดขึ้นมาอย่างกับเต้นระบำเลยเชียว สิ่งแรกที่ฉันเห็น ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขายผลไม้หน้าวัด (เอาเหอะ ไปที่ไหนๆ ก็มีแหละน่าแบบนี้) แล้วพอมองเข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่ อ้าวนั่น ร้านขายเครื่องสังฆทาน ไม่ต่ำกว่า 5 ร้าน - -" ทำไมมันเป็นแบบนี้เนี่ย ยังไม่นับ หมอดูที่อาศัยร่มเงาของต้นไม้นั่นอีก มีร้านขายกาแฟโบราณ ร้านขายโจ๊กหมู ดอกไม้ธูปเทียน ร้านขายสัตว์ต่างๆ ที่เขานิยมปล่อยเพื่อทำบุญ เท่าที่ยืนอ่านป้ายดู นับได้ 5-6 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ยอดฮิต แบบเต่า ปลาไหล นก ปลาหมอ ปลาอะไรอีกหว่า ว้า ฉันจำไม่ได้ล่ะว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ไม่น้อยเลยล่ะ นับว่าหลากหลายชนิดกว่าวัดอื่นทั่วๆ ไปเหมือนกันนะ สงสัยนี่จะเป็นจุดขายของวัดนี้ละมัง อ๊ะ ๆ นี่ยังไม่หมดนะ บริการของทางวัด ฉันยังไม่ได้นับบริการมอเตอร์ไซด์รับจ้าง หรือปะยางด้วยนา ครบวงจรดีไหมล่ะวัดนี้ แต่เอาเหอะท่องไว้ มาทำบุญๆ วันพระทั้งนี้ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลของตัวเองหน่อย ^^"


พอเราลงจากรถสองแถว พากันหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินมาเข้าเขตศูนย์การค้าทางศาสนา เอ้ย ไม่ใช่ ร้านค้าในวัด (เข้าใจว่าส่วนใหญ่จะเป็นการรีไซเคิล หรือฮั้วกันในวัด เอหรือประมูลเอาหว่า เพราะอะไรเดี๋ยวบอกทีหลัง) ยังไม่ได้จะเดินไปถึงไหนเล้ย เสียงต้อนรับดังขึ้นเซ็งแซ่

"นั่งก่อนนะจ๊ะ วางของก่อนจ๊ะ พระกำลังฉันเพลอยู่ นั่งพักก่อนจ้า" ฯลฯ อะไรทำนองนี้ แล้วสักพัก ก็ได้ยินมาอีกว่า
"รับดอกไม้ สังฆทานเพิ่มไหมจ๊ะ" ฉันคิดว่าสงสัยวิธีนี้คงจะเลียนแบบมาจากร้านค้าเอนกประสงค์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงกันทุกมุมเมืองในตอนนี้เป็นแน่เลย

แรกทีเดียวว่าจะนั่งเฉยๆ รอเวลาขึ้นไปถวายหลอดไฟ แล้วก็รับศีลรับพรจากพระท่านเสียหน่อย แต่แม่คุณสองคนที่ไปด้วย เดินไปชอปต่อ ซื้อดอกไม้ และชุดสังฆทานเพิ่ม ไหนจะธูปกับเทียนอีกล่ะ ฉันเลยต้องเลยตามเลยกับเขา เพราะพี่แกบอกว่า มาทำบุญห้ามคิดอะไรมาก เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่ คำนี้นับแต่เช้าได้ยินมาสองสามรอบแล้วนา ได้แต่งึมๆ งำๆ รับคำพี่แกไป แล้วก็รอเวลาที่จะขึ้นไปทำบุญ
สักพัก ฉันเห็นรถยี่ห้อดังๆ สามดาวบ้าง หรืออื่นๆ ขับรถเข้ามาในวัดไม่ขาดสาย บางทะเบียนมาจากกรุงเทพฯ อืมม มาทำบุญกันไกลเนาะ แสดงว่าวัดนี้คงมีอะไรดีแน่ๆ ไม่อย่างนั้นญาติโยมคงไม่นิยมมาทำบุญถึงนี่เยอะแยะขนาดนี้หรอก เมื่อได้ยินเสียงแม่ค้าบอกกับพวกฉันและพวกที่มาคอยๆ ว่า เตรียมตัวยกของขึ้นไปบนกุฏิได้เลยนะ พวกฉันก็หิ้วของที่เตรียมมาจะไปยืนรอ นึกสงสัยตัวเองเหมือนกัน ว่าตรูจะหอบของไปไงหมดวะเนี่ย โอ๊ะๆ ที่นี่เขาบริการดีนะ มีบริการ สังฆทาน delivery ของที่เราซื้อกับเขา เขาหอบขึ้นไปส่งให้เรา แต่ช้าก่อน พอฉันไปถึงหน้ากุฏิ อุแม่เจ้านี่มันอะไรเนี่ย วัดนี้แจกบุญฟรีเรอะ คนยืนรอกันล้นเต็มบันได อะไรมันจะขนาดนี้ เอาวะ มาถึงที่แล้ว รอขึ้นไปชุดสองแล้วกัน ขณะที่รอ ฉันมองไปรอบๆ อืม มีร้านค้าอีกแล้ว แต่ร้านนี้เป็นร้านเครื่องรางของขลัง ปลัดขิก สาริกา พระพุทธรูป อะไรเทือกนั้น ดูๆ ไปแล้ว พวกที่มาค้าขายอยู่นี่เขาก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดีจริงเชียว ช่วยกันขาย ช่วยกันเรียกลูกค้า แถมดูแลดีอีกต่างหาก ดูจากจำนวนของคนที่มาทำบุญในวันนี้แล้ว ไม่ยากเลยที่จะคิดว่า วัดนี้ คงมีญาติโยมมาทำบุญกันอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะไม่ใช่วันสำคัญทางศาสนาแบบนี้ก็ตาม ไม่อย่างนั้นคงไม่มีร้านค้าผุดขึ้นมาเป็นย่านการค้าแบบนี้หรอกน่า ท่าทางจะรายได้ดีไม่หยอกแหละน่า


ฉันรอที่เชิงบันไดอยู่อีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงถึงคิวพวกฉันขึ้นไป ฉันต้องแอบบ่นในใจอีกที ว่า ทำไมมันแน่นอย่างนี้ฟะข้างบนนี้ ฉันรู้เลยว่าสภาพของปลากระป๋องเป็นอย่างไร จะต่างกันหน่อยตรงที่ฉันไม่ใช่ปลา แต่เป็นตัวอะไรที่ใหญ่กว่าปลาเยอะ ขณะที่ยืนแออัดหาที่ทาง แล้วก็รอชุดเก่าที่เขาเรียบร้อยกิจกันแล้ว อยู่นั้น ฉันก็เห็นเจ้าเหมียวตัวหนึ่ง สีสวยเชียวล่ะ แต่โทษทีเหอะ เพ่แกไม่สนใจใครเล้ย มานั่งเบียดกลางฝูงชน ฉันลูบหางไปหน่อยแล้วบอกหลบๆ หน่อยสิ เดี๋ยวคนมาเขาเหยียบนะเออ เจ้าเหมียวทำเหมือนจะรู้ประสา นอนแผ่ทันที - -" เออ สบายใจจริงนะเอ็ง โดนเหยียบไม่สนใจนะเฟ้ย ว่าจะไม่สนใจ แต่ก็ต้องคอยมองเจ้าเหมียวอยู่เรื่อย สุดท้ายก็เห็นไปนั่งแอบๆ ตรงบันได คงกลัวโดนเหยียบมั่งเหมือนกันแหละน่า พอถึงตาพวกฉันไปนั่งถวายหลอดไฟ พวกเราก็ต้องจำแลงร่างเป็นปลากระป๋องอีกครา ด้วยเพราะว่าคนเยอะเหลือเกิน พระท่านก็จะทำพิธีเป็นชุดๆ ไป เสร็จพิธีฉันปวดเมื่อยขาไปหมดเพราะต้องนั่งแล้วก็ขาโดนทับ - -" ขณะที่ทำพิธีนั้น ฉันเหลือบไปเห็นแม่ลูกค้าขาประจำของฉัน ให้ตายสิเอ้า นั่นชุดมาวัดเขารึนั่น เฮ้อ ทำไมน้อ คนไทยแท้ๆ ทำไมไม่มีจิตสำนึกในเรื่องนี้กันบ้างเลย ไม่มีใครสอนสั่งเรอะว่า การมาทำบุญเนี่ย เขาให้ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นี่อะไร ก้มที เป็นฉันนั่งอยู่ด้านหน้าคงเห็นไปถึงเครื่องในหล่อน แต่เอาเหอะคนเรามันไม่เท่ากัน สมอง หรือความคิด ก็ไม่เท่ากัน หากเขาจะคิดได้แค่นี้ ชีวิตของเขาก็คงไม่พ้นวนเวียนอยู่แค่นี้ ฉันได้แต่มองด้วยความสมเพชแถมอนาถใจกับภาพที่เห็น


เมื่อเสร็จพิธี ฉันรีบเผ่นลงมาจากกุฏิ เพราะมันปวดขาเหลือกำลัง สู้ลงมาเดินเหยียดแข้งขา ให้ผ่อนคลายเสียหน่อยจะดีกว่า ลงมาเจอหน้าแม่คุณลูกค้า อดไม่ได้ที่จะเหน็บไปหน่อยๆ ฉันเองก็แปลกใจไม่หายนะ ว่าทำไมสาวๆ แถวนี้เขามองเป็นเรื่องปกติไปแล้วรึ กับการที่เข้าวัดแล้วต้องใส่เสื้อสายเดี่ยว คอลึก ตกลงมันเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้แล้วใช่ไหมเนี่ย เฮ้อ อีกที หรือจะเป็นเพราะสังคมแถวนี้มันเป็นอย่างนี้น้า
ขณะที่รอพี่แกให้ลงมาจากการทำพิธีลงนะหน้าทอง ซึ่งฉันทนต่อคิวไม่ไหวด้วยความเมื่อย ได้ยินเสียงแม่ค้าบ่นๆ อ๊ะ ข้างบนนั่นโยนชุดสังฆทานแรงจัง บุบแตกมา จะขายไม่ได้นะ


O_o อ้าว นี่ตกลงรีไซเคิลจริงๆ เรอะ หรือท่าจะมีการประมูลในวัดหว่า ว่าเจ้าไหนราคาดีกว่ากันหรือเปล่าน้อ แต่ก็ช่างเหอะเนาะ มาทำบุญ แต่ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าฉันได้บุญหรือบาป อย่างไรเสีย เงินที่รีไซเคิลนั้นเขาก็เข้าวัด ดีกว่าไปรั่วไหลทางอื่นแหละน่า จริงไหม

 
สงสัยว่า ฉันคงทำบุญแถวนี้ไม่ได้แน่ๆ เลย ศรัทธาไม่เกิดจริงๆ เล้ยฉัน

 



6 comments:

ming-ki said...

ฉันรู้เลยว่าสภาพของปลากระป๋องเป็นอย่างไร จะต่างกันหน่อยตรงที่ฉันไม่ใช่ปลา แต่เป็นตัวอะไรที่ใหญ่กว่าปลาเยอะ

---ชอบประโยคนี้จัง นอกจากจะเห็นภาพแล้วยังแสดงออกถึงการกัดตัวเองเพื่อเป็นบรรณาการแก่ผู้อ่าน นับถือ ๆ

ว่าแต่ ทำไมเดี๋ยวนี้ยิ่งเขียน พจ ก็ดูจะยิ่งจริงจังกะประเด็นปัญหาต่าง ๆ ล่ะเนี่ย ร่ำ ๆ คิดว่าอ่านมติชนสุด แล้วนะคะ 555 ล้อเล่นนะคะ กับเรื่องเฉียดบาปครั้งที่ 2 มิ้งก็คงต้องบอกว่าเห็นด้วยเป็นที่สุด ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนก็ไปวัดไปวากับแม่ ๆ ป้า ๆ ดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้ สิ่งที่คิดเกี่ยวกับวัดค่อนไปทางนรกกินตลอดเวลา ล่าสุด ถึงกับเคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเอาเงินสร้างโบสถ์ สร้างศาลาทั้งหลายไปเป็นค่า R+D ประเทศไทยอาจจะมีเงินทำวิจับพัฒนาสูงที่สุดในโลกก็ได้ เฮ้ออ………..

Anonymous said...

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปนะ
เดี๋ยวนี้ มันเป็นพุทธพานิชย์กันเกือบหมดแล้ว
อย่าเพิ่งหมดศรัทธากันน๊า วัดดีๆน่าจะยังมีตามต่างจังหวัด
อีกมาก เป็นโชคดีที่พวกชะนีทั้งหลาย
คงไม่อดทนดั๊นด้นไปทำบุญกันเป็นแฟชั่น
(ยกเว้น ว่า มีดาราชายดันไปบวชแถวนั้นอีก )

วัดคริสต์ของพี่ ก็มีปัญหานี้
ต่างกันคือ มีปัญหาด้านการแต่งกาย น้อยกว่าเยอะ
แล้วก็ เรื่อง ถวายสังฆทาน จะไม่มีการ นำกลับมาใช้นะ
แต่พวกไฮโซถวายของ ก็เหมือนโชว์ ถวายของดีๆให้บาทหลวงเหมือนกัน

(ปัญหาน้อย เพราะว่า แต่ละอาทิตย์ มีแต่คนแก่และเด็ก เข้าวัดด้วยอ่ะ)


ปล แน่ใจนะว่าแค่ตัวใหญ่กว่าแมว ...

พี่ตู่

Anonymous said...

แหะ พิมพ์ ปล ผิดจนได้


ไม่น่าเทียบว่าตัวใหญ่กว่าปลา ...นะ
มันมวยคนละรุ่นกันอ่ะ

แหะๆๆ

jengly said...

#2-3
จริงๆ หนูเทียบกับปลาได้นะคะ พะยูนไง เอิ๊กกก

Kaew said...

รับไม่ได้เหมือนกันเลยค่ะ เรื่องสาวๆสายเดี่ยว แขนกุด คอลึกไปวัดเนี่ย
สิ่งที่แวบแรกขึ้นมาในใจก็คือที่บ้านเขาสอนกันมาอย่างไร!!!
ก็ได้แต่แอบหงุดหงิดในใจหรืออย่างมากก็คงบ่นกับที่บ้าน
ไม่เข้าใจเลยจริงๆคนสมัยนี้....หรือว่าเราจะแก่เกินไปแล้ว
ไปวัด ยอมเชย ยอมดูเป็นป้าแก่ แต่ทำแล้วเราสบายใจ
เวลาจะใส่เสื้อผ้าแบบนี้มีอีกตั้งนานนี่นา
แต่ก็พยายามไม่หงุดหงิดใจ เรื่องของใครของมัน
แปลกใจลึกๆ เขาไม่รู้กันเหรอว่าคำว่ากาลเทศะแปลว่าอะไร

Anonymous said...

ขี้บ่นจริงๆ ด้วย อิ อิ