Sunday, August 29, 2004

+ W e D D i n G +

ห่างเหิน ห่างหายจากการ update ไปหลายวันอีกแล้ว เหตุผลเดิมๆ ไม่มีอะไรเขียน สมองพักนี้ท่าทางจะไม่ได้ใช้งาน หวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่า สักวัน เซลล์สมองฉันมันจะฝ่อ จนเล็กกว่าอวัยวะบางอย่างในตัว เหมือนที่ฉันชอบเปรียบพวกนักแสดงสาวบางคนนั่นปะไร ก็จริงๆ นี่นา อวัยวะบางส่วนล่ะใหญ่ดีแท้ แต่อ้าปากพูดออกมา พลอยทำให้คิดอยู่เรื่อยเลยว่า สงสัย โปรตีนและสารอาหารอื่นๆ ไปเลี้ยงส่วนนั้นอย่างเดียว ไม่เหลือไปถึงสมอง เวลาเอ่ยวจีอะไรแต่ละความ มันถึงส่ออะไรได้แบบนั้น (ชักปากจัดหรือเปล่าหว่าฉัน) อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย งั้นก็หาเรื่อง update เสียหน่อย ถึงจะเป็นเรื่องส่วนตัวค่อนมากก็เหอะนะคราวนี้ ดีกว่าไม่ได้เขียนอะไรล่ะจริงไหม

จะว่าไปแล้วนะ ฉันน่ะอย๊าก อยากจะเขียน แต่จนด้วยเกล้า ไม่มีเรื่องอะไรจะมาเขียน ขนาดเดินทางกลับบ้าน ไปนอนตีพุงอยู่บ้านเสียหลายวัน แต่ก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไร เฮ้อ จริงๆ น้อคนเรา บทจะตื้อจะตัน นึกให้ตายก็เขียนอะไรออกมาไม่ได้ กว่าจะนึกกว่าจะเขียนได้แต่ละที มันลำบากน้อยเสียที่ไหนเล่าเนี่ย เฮ้อ (อีกที)


ย้อนไปถึงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันหายหน้าหายตาไปจากหน้าจอคอม และคีย์บอรด์อยู่เกือบร่วมสัปดาห์ ทำเอาเพื่อนๆ บางคนพล่าน โทรตามหา เหมือนนึกว่าฉันชีวิตจะหาไม่แล้ว หลายคนจะบอกว่า เหมือนขาดอะไรไปหากไม่เห็นฉันออนไลน์ จริงๆ ฉันก็ลืมๆ ไปเหมือนกันว่า ตัวเองน่ะเป็นโปรแกรมแถมมากับโปรแกรมสื่อสารชนิดหนึ่ง ใครมาไม่เจอฉันละเป็นเรื่องแปลก แม่ออนไลน์อยู่วันละ 10 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ฉันกลับบ้านมาน่ะ กลับไปหาแม่ หาครอบครัว รวมถึงไปงานแต่งงานของเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาสมัยยังเป็นสาวรุ่นนั่นแล (ตอนนี้ก็ยังสาวนะ :p) เหมือนเดินสายเยี่ยมญาติกรายๆ ล่ะคราวนี้ เพราะคราวนี้ฉันไปค้างที่บ้านที่อุบลฯ ด้วย จะว่าไปก็แทบไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดกับย่า หรืออา เท่าไหร่ เพราะอยู่แต่ที่อื่นเสียเป็นส่วนใหญ่ บ้านตัวเองยังแทบไม่ได้อยู่เลยนี่นา แต่รู้สึกดีๆ ทุกครั้งที่ไป ความผูกพันแบบนี้อย่างไรเสียก็ตัดไม่ขาดจริงๆ


วกกลับมาเรื่องงานแต่ง เพื่อนสาวฉัน โดนเพื่อนๆ หลายคนเรียกว่า แม่ชี เพราะงั้น คำอวยพรส่วนใหญ่จากเพื่อนๆ จึงมักจะกล่าวในทำนองว่า ในที่สุดแม่ชีก็ออกจากโบสถ์ ด้วยความที่เจ้าสาวค่อนข้างจะเรียบร้อย คอยดูแลเพื่อนๆ ในกลุ่ม จนเหมือนเป็นพี่สาว เป็นแม่ชี ในสายตาของเพื่อนๆ ทั้งหลาย ส่วนเจ้าบ่าว เป็นหนุ่มร่างสูงจากฮอลแลนด์ หรือเนเธอร์แลนด์ เรียกอะไรก็ตามสะดวกเถอะนะ คริสเตียน เป็นผู้ชายที่สูงมากกกกกปกติฉันว่า เพื่อนฉันไม่เตี้ยนะ แต่พอไปอยู่กับคุณแฟนของเจ้าหล่อนเข้า มันแตกต่างกันเหลือขนาดเลยล่ะ กับภาพที่เห็น สูงเกือบสองเมตรได้กระมังสำหรับเจ้าบ่าว ฉันไม่มีโอกาสจะได้ไปร่วมพิธีในตอนเช้า ก็เลยไปในช่วงเย็นกันแทน งานถูกจัดขึ้นในโรงแรมขนาดใหญ่(ที่ค่อนข้างเหลาเหย่) แห่งหนึ่งในตัวเมือง แต่เปล่าหรอกนะ งานไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย มีแขกไปร่วมงานแค่ประมาณ 40 - 50 คนเองละมัง ถ้าคาดจากสายตาที่เห็นไม่ผิด นั่นคือส่วนหนึ่งของงานที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า งานนี้ช่างเป็นงานแต่งที่น่ารักเสียจริง จะด้วยบรรยากาศ หรืออะไรหลายๆ อย่าง ไม่มีพิธีกล่าวอะไรของบรรดาญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องมีคำสรรเสริญเยินยอ ไม่มีคำร่างประกาศเกียรติคุณใดๆ ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีแค่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว และพิธีกรที่แทบไม่ได้ทำอะไร มันทำให้เป็นบรรยากาศที่ไม่น่าอึดอัด ไม่น่าเบื่อ ที่น่ารักไปยิ่งกว่านั้น ได้มีโอกาสเห็นการเต้นรำของชาวดัชท์ คุณๆ จะนึกไหมล่ะนั่น ถ้าหากไปงานแต่งงาน แล้วได้เห็นคนเกาะไหล่เต้นรำกันไปทั่วห้อง ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเจ้าบ่าว แต่ยังมีตัวเจ้าบ่าว และเจ้าสาวเองด้วย รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้สถานที่จัดงานแต่งงานนี้ หรืองานคราวนี้เป็นงานที่มีชีวิตชีวา กระทั่งน้องสาวเจ้าบ่าว ที่ขาเจ็บต้องพึ่งไม้เท้าตลอดเวลา พอได้ยินเสียงเพลงของบ้านเกิด เธอยังลุกขึ้นเต้นร่วมกลุ่มกับเขาเลย ฉันกับเพื่อนๆ หลายคนนั่งอมยิ้มกับภาพที่เห็น แต่ก็อีกหลายคนเหมือนกันที่โดดเข้าไปร่วมเต้นรำกับเขาด้วย ส่วนฉันเหรอ นั่งอยู่เฉยๆ จะดีกว่ากระมัง แถมยังได้โอกาสถ่ายรูปมาหลายด้วย ^^


คงจะต้องบอกว่า เป็นงานแต่งงานอีกงานหนึ่งที่ฉันประทับใจ มันน่ารัก ไม่เยิ่นเย้อ ไม่น่าเบื่อ ไม่ต้องรอฟังแขกผู้มีเกือก เอ้ย! เกียรติทั้งหลายกล่าวเท้าความถึงสมัยบ่าวสาวยังแบเบาะ ไหนจะมีการเต้นรำอีกล่ะ น่ารักจริงๆ เพื่อนๆ ของฉันกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า งานแต่งงานของเพื่อนเราคราวนี้น่ารักมาก ถึงจะขาดดุลย์ให้ต่างชาติไปอีกหนึ่งก็ช่างเหอะ ความสุขมันสำคัญกว่าอะไรๆ นี่นา







บางทีเราค้นหามาชั่วชีวิต หรือใช้เวลานานแค่ไหน เราก็ไม่สามารถเจอความสุขแบบที่เราต้องการได้ แต่สำหรับบางคน หลังจากที่ผ่านอะไรๆ มา ได้มาเจอความสุขแบบที่ตนต้องการ มีหรือจะไม่คว้าไว้ บางที บางช่วงเวลา ความสุขไม่ได้มีให้เราซื้อหาได้ตามร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไปหรอกนะ จริงไหม