Wednesday, November 08, 2006

ความรู้สึกของคนที่เราแคร์....

ความรู้สึกของคนที่เราแคร์
สำคัญเสมอ


แล้วคนที่เราแคร์
กับเขาแล้ว
ความรู้สึกเราสำคัญหรือเปล่า

...


บางทีนึกถึงแต่ตัวเองมากไป
ห่วงแต่ความรู้สึกของเขามากไป
แคร์ตัวเองมากไป
แคร์เขามากไป
อะไรมันสำคัญกว่ากัน???

Sunday, September 10, 2006

ทำไมไม่หายไป

.
รู้สึกดีๆ
เป็นได้ง่ายๆ
ทั้งที่ไม่เคยเป็น
.
ความรู้สึกดี
นานๆ ที
ไม่ได้เป็นบ่อย
แต่ก็เป็น
.
รู้สึกดีๆ
อยู่ๆ ก็มี
ไม่ใช่กับใครๆ
และไม่ใช่กับทุกคน
.
ความรู้สึกดี
อยู่ดีๆ ก็มาง่ายๆ
แต่ก็จุกง่ายๆ ได้เหมือนกัน
.
รู้สึกดีๆ
แล้วทำไม
ไม่หายไปง่ายๆ
เหมือนเข้ามา
...
.

บ่อน้ำ - ก้อนหิน

.
พายุ
คลื่นลม
ซัดสาด
ปราสาททราย
หายไป

บ่อน้ำ
ก้อนหิน
โยนไปเท่าไหร่ก็จม

แม่น้ำ
กว้างใหญ่
ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม

ก้อนหิน
ก้อนแล้วก้อนเล่า
หมดแล้วหมดเลย



ใจคน
รู้สึกง่าย
เจ็บง่าย..ไม่ต่างกัน



.

Friday, September 01, 2006

~ ~ นิสัยเมียน้อย!!?? ~ ~

จั่วหัวมา ด้วยหัวข้อหมิ่นเหม่อีกแล้วอิฉัน หุหุ อย่ากระนั้นกระนี้เลย มันเป็นแค่เรื่องที่สาวๆ เขาเมาท์กัน หนุ่มๆ อยากจะอ่านก็อ่านไปนะคะ แต่ไม่รู้จะเห็นด้วยไหม แต่เพื่อนสาวๆ หลายคน รวมถึงหนุ่ม(น้อย หรือใหญ่??) หลายคนก็บอกว่า เออ มันจริง ..

คืนหนึ่ง ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวของสยามประเทศ บทสนทนาออนไลน์ผ่านโปรแกรมแชทที่ฮิตกันทั่วโลก msn ได้ดำเนินไปเรื่อยๆ ระหว่าง สองสาว จุ๊บแจง (นามสมมติ ) และสาวอีกนางหนึ่ง ให้นามสมมติว่า นังเหมียว ละกัน (เพื่อนฉันไม่มีชื่อเหมียวสักคน จริงๆ นะ สาบาน) เพราะฉะนั้นบทสนทนาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสมมติขึ้น อาจจะมีอิงความเป็นจริงบ้าง(เป็นส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย อันนี้มิอาจบอกได้)

จุ๊บแจง - เบื่อผู้ชายว่ะ (บ่นรอบที่ร้อยแปดกับเพื่อนหลายๆ คน )
เหมียว - อีกแล้ว ทำไมล่ะแก
จุ๊บแจง - ก็มีแต่คนบอกน่ารัก ไม่เห็นมีคนรักสักทีนี่หว่าาาาา
เหมียว - ก็แหงดิ แกน่ะนิ่งเกินไป นิสัยแบบเนี้ย เขาเรียกนิสัยเมียน้อย
จุ๊บแจง - O_o หาาาาา จริงดิ นิสัยเมียน้อยเนี่ย เขาเป็นไง
เหมียว - มามะ เด๋วฉันจาระไนให้แกฟัง (อ่าน)
ก็แกน่ะ นิ่งเกินไป ใจเย็นเกินไป ไม่หึง ไม่หวง
ไม่จิก ไม่ตาม ใครไม่โทรหาแก แกก็ไม่เคยโทรหาเขาก่อน
ไม่เคยถามว่าเขาไปไหนมา อย่างดีแกก็ถามเขาว่า หายไปนานยุ่งเหรอ
เขาบอกให้แกรอ แกก็รอ พอเขาโทรหาหรือติดต่อมาแกก็ดี๊ด๊า
ทำเจียมเนื้อเจียมตัว เหมือนเมียน้อยไม่มีผิด หรือแกว่าไม่จริง
จุ๊บแจง - เอ่ออออออ (จะว่าไงดีฟะตรู)
แล้วจะให้ทำไงฟะ ก็ฉันทำไม่เป็นนี่ ผิดด้วยเหรอวะ
เหมียว - ไม่ผิด แต่เขาเรียกว่า นิ่งเกินไปเฟ้ย
จุ๊บแจง - .................



คุณๆ ว่าไง เห็นด้วยกันไหมคะ ??? คนเป็นเมียน้อยนี่เขานิสัยงี้กันจริงหรอ????? อิฉันละงง......

Pattaya Series - ว่าด้วยเรื่อง Door to Door เสริฟถึงปาก บริการถึงที่

ห่างหายไปนานสำหรับ Pattaya Series จะว่าไม่มีอะไรเขียนก็ไม่ใช่ แต่คงเป็นผลจากจิตใจของตัวฉันเองเสียมากกว่า ไม่นับเรื่องความสูญเสียที่เพิ่งจะผ่านมาไม่นาน มันเป็นเรื่องของอารมณ์ การเขียนอะไรสำหรับฉันมันยากจริงๆ ถ้าหากไม่มีอารมณ์ จะเขียนอะไร พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เกิดประโยชน์ คำพูด ข้อความที่อยากจะเขียน มันก็เหมือนจะตื้อจะตันเอาได้ง่ายๆ บางทีแค่จรดปลายนิ้วลงบนคีย์บอร์ดเพื่อจะเริ่มเขียนอะไรสักอย่าง มันก็ทำได้ยากเต็มทน นึกๆ แล้วทึ่งกับพวกนักเขียนมืออาชีพ หรือคอลัมนิสต์มืออาชีพที่เขาทำอาชีพนี้เลี้ยงตัวกันจริงๆ ว่าหาเรื่องราวอะไรมาเขียนได้บ่อยขนาดนั้น แถมยังบังคับตัวเองให้เขียนได้แทบจะทุกสัปดาห์กันเลยทีเดียว เก่งนะ นักเขียนนี่ แบบฉันนี่จะให้เป็นนักเขี่ย ยังยากเลย

นอกเรื่องไปอีกล่ะฉัน หยุดตัวเองไม่ได้สักที เวลาจะเริ่มเขียนอะไรเนี่ย เหมือนต้องมีเรื่องให้ต้องออกทะเลกันเรื่อย Pattaya Series คราวนี้มาแนวแปลกกว่าเดิมสักหน่อย เพราะไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เห็นใกล้ตัว ที่สามารถล้วงข้อมูลได้เต็มที่เหมือนเรื่องหน้าอกหน้าใจของสาวๆ หรือไม่สาวกันแถวนี้ คงมีขาดมีหล่นบ้าง แต่เขียนจากที่เห็นมานาน และพอมีข้อมูลบ้าง ถึงจะไม่มากก็ตามที แต่คนมันอยากเขียนเรื่องนี้นี่นาใครจะทำไม) ว่ากันด้วยเรื่องของบริการถึงที่ของธุรกิจแถวนี้กันดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าฉันเขียนเป็นแต่เรื่องของพวกแหล่งอโคจร พวกไม่ใช่ก็มีนะ ก็ที่กำลังจะโม้อยู่นี่ไงคะ จากที่เคยเขียนๆ ไว้ตั้งแต่เริ่มเขียน Pattaya Series เมื่อสักสองปีที่แล้วนี้ว่า พัทยาเป็นเมืองที่มีธุรกิจหลากหลายรูปแบบมาก และเหมือนใครๆ ก็จะพากันมุ่งหน้ามาพัทยา มาหาเงินกัน (กระทั่งฉันก็คงพอจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น) บางคนใช้คำหรูหน่อยก็คือ มาหาโอกาสให้ชีวิต มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็ว่ากันไป ตามแต่จะเรียกก็ตามใจคนเขาเถิด ว่าไหมคุณ


ธุรกิจที่ฉันบอกว่ามีมากที่สุดในพัทยาก็ หลักๆ ก็คงจะไม่พ้นบาร์อย่างที่เคยเขียนไปแล้ว และยังมีธุรกิจอีกหลายๆ ประเภทที่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับธุรกิจหลักตัวนั้น ถึงจะเป็นรายยิบรายย่อย แต่หากจะนับจำนวนกันจริงๆ มันเยอะมากๆ จนตำรวจเทศกิจเมืองพัทยานี่มีงานทำกันไม่ว่างเว้นทีเดียวล่ะ ค่ะ กำลังจะพูดถึงอาชีพหาบเร่แผงลอยกันนั่นแหละ แต่คุณ ๆเชื่อไหม ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนในไทยที่จะมีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่มากมายเท่าพัทยาอีกแล้ว ให้พระเจ้าทอดกล้วยมาช่วยฉันก็ยืนยันคำนี้ค่ะคุณ ถ้าคุณๆ มาเห็นคงจะยอมรับกล้วยเอ้ย รับคำฉันได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะบริการหาบเร่ของที่นี่น่ะไม่เหมือนที่ไหนๆ สำหรับฉันนี่อยากจะเรียกว่า บริการเสริฟถึงที่ เพราะพวกแม่ค้าพ่อค้าเหล่านั้นเขาไม่ได้เป็นแผงๆ กันอย่างที่เราเห็นอย่างเดียวนี่คะ แต่พวกคุณๆ พ่อค้าแม่ค้านี่เจาะลึกถึงตลาดกลุ่มเป้าหมายของเขาดีนักแล

ถ้าจะพูดถึงว่า "หาบเร่ แผงลอย" พวกคุณๆ คงจะนึกถึงแผงค้าขายริมถนน หรือแบกะดิน ภาพพ่อค้าแม่ค้าหาบคอนกระจาดเร่ขายของ อะไรทำนองนั้น แต่สำหรับพัทยา มันมีมากกว่านั้นค่ะ เพราะมีทุกอย่าง จริงๆ นะ คุณแค่อยู่กับที่แต่จะมีของมาเสนอขายคุณถึงที่ อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ รับรองพวกแม่ค้าพวกนี้เขามีให้หมด ยกเว้นก็แต่พวกอสังหาริมทรัพย์ที่เขาไม่สามารถยกมาให้คุณดูได้ก็เท่านั้นแหละ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นรับรองคุณหาได้จริงๆ จากแถวๆ นี้ เออ จะว่าไป เสริมสวยเคลื่อนที่ฉันก็ยังไม่เคยเห็นนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นหาว่าโม้ไป คราวนี้ฉันเลยมีรูปประกอบด้วย ให้เห็นว่าส่วนหนึ่งของชีวิตที่พัทยาเป็นอย่างไร ดูไป อ่านไป ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรอกนะคะ เพราะฉันเล่าจากที่ฉันเห็น และสัมผัส


ครั้งที่มาอยู่พัทยาใหม่ๆ ตามคำชวน บวกกับแรงดื้อดึงที่ฝืนที่บ้านด้วย ฉันก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับแสงสี ของบาร์ และความรู้สึกแปลกๆ ที่มีต่อ "สาวๆ" แถวนี้ คนเขาไม่คุ้นอะไรทำนองนี้นี่คุณ แรกๆ มันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจกันอยู่บ้าง และสิ่งที่ฉันเห็นนอกจากสาวๆ แล้วก็เป็นพวกพ่อค้าแม่ขายที่เขามีอาชีพเร่ขายของนี่แหละค่ะ จะเอาอะไรบ้างล่ะ ที่เร่ขายกันน่ะ คุณแค่นั่งอยู่กับที่ เดี๋ยวพวกพ่อๆ แม่ๆ (ค้า) เขาก็จะ มุ่งหน้ามาหาคุณเอง คุณๆ คงจะเคยเห็นแค่ หาบขายขนม ของกิน รถเข็นผลไม้ ขายไม้กวาด ขายเขียงกันใช่ไหมคะ แต่โทษทีพัทยานี่มีมากกว่านั้น เพราะนอกจากพวกรถเข็นที่คุณๆ เห็นกันจนชินตา ยังมีพวกเร่ขายของไม่ว่าจะเป็น ของกิน ที่ใช้วิธีกระเดียดกระจาด พร้อมตะกร้า หรือบางคนมาในมาดของแอร์โฮสเตส คือลากกระเป๋าล้อลาก (รถเข็นล้อลาก) กันเลยทีเดียว ขายกันไปตั้งแต่ซูชิ ยันปลาร้าป่น อ๊ะ อาหารฝรั่งก็มีเยอะนะคะ แซนด์วิช สลัด เบอร์เกอร์ โอ้ย สารพัดค่ะ อ้อ แล้วก็ยังมีขนมหวานทั้งไทย และเทศด้วยนะคะ


แล้วยังมีพวกเสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม ซึ่งแบ่งได้เป็นหมวดๆ อีกนะคะ มีตั้งแต่เสื้อผ้าพวกนุ่งน้อยห่มน้อย (อันนี้สำคัญ เพราะเป้าหมายเขาคือสาวๆ ที่นั่งอยู่ในบาร์) กระโปรงตัวจิ๋ว กางเกงยืดสั้นแค่คืบ (ไม่รู้จะตัดมาทำไมให้เปลืองผ้า) เสื้อยืดตัวสั้นเต่อ หรือชุดกระโปรงยาว ชุดราตรี ฯลฯ สารพัดสารพันค่ะ ประเภทของเสื้อผ้าแถวนี้น่ะ (ชุดราตรีนี่ก็มีเดินขายกัน ชุดราตรีนี่ไม่เป็นเรื่องแปลกสำหรับสาวๆ แถวนี้นะคะ ภาพที่เห็นจนชินคือ สาวๆ ใส่ชุดราตรีสวยกริ๊บ แต่จูงมือกับฝรั่งหัวทองใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ หรือกางเกงขาสั้นด้วยซ้ำไป เป็นภาพที่ขัดกันอย่างมาก แต่อย่างเดียวที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้ก็คือมือ ละมังคะ เพราะกุมกันแน่นไม่ปล่อย อย่างอื่นจะแน่นไม่แน่น หรือไปกันได้ไหม ฉันไม่ทราบค่ะ แฮ่) มือหนึ่งจะถือหุ่นแขวนเสื้อ อีกมือก็หอบเสื้อผ้าที่แขวนในไม้แขวนบ้าง หรืออยู่ในถุงบ้าง เร่เดินไปทั่ว เข้าบาร์นั้นออกบาร์นี้ ไปเรื่อยๆ ยังค่ะยังไม่หมด มีของชั้นนอกแล้วก็ต้องมีชั้นในค่ะ ชุดชั้นในทุกประเภท จะไซส์เล็กใหญ่ จะยืดจะลูกไม้ จีสตริง พี่แกมีขายกันทั้งนั้นค่ะ โดยเฉพาะแบบเซ็กซี่ ซีทรู นี่ฮิตกันจริงๆ ขายดิบขายดีกันไม่เว้น ทำไมต้องเน้นเซ็กซี่ ก็ลูกค้าเป้าหมายของเขานั่นใครกันละคะ สาว ๆ แถวนี้ทั้งนั้นแหละ สาวอะโกโก้ก็เยอะนี่คะ ยังไม่หมด นอกจากเสื้อผ้าแล้ว หน้า ผมก็ยังสำคัญ เมื่อมีเสื้อผ้าเร่ขาย ก็ต้องมีเครื่องสำอาง (เครื่องสำอาง ไม่มี ค์ ยืนยันค่ะ - ตกลงบล็อกนี้จะสอนภาษาไทยหรือจะเอาไว้โม้หว่า) มีทั้งแม่ค้าและพ่อค้าค่ะ แต่ละคนจะมีตะกร้าไว้กระเดียดอยู่ข้างเอว และอีกมือหนึ่งก็จะมีแผงพลาสติกหรือไม่รู้จะเรียกอะไร แผงๆ กระดาษที่แขวนพวกเครื่องสำอาง จำพวก ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้ว อะไรทำนองนี้แหละค่ะ เดินเข้าออกบาร์ไปเรื่อยๆ ยังค่ะยัง ยังไม่ครบเซตแต่งตัว นอกจากเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ยังขาดเครื่องประดับค่ะ มีบริการถึงที่อีกเช่นกัน มาในรูปแบบของตะกร้า และแผงโชว์สินค้า เดินกันไปเรื่อยๆ ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า ที่รัดผม กิ๊บติดผม ที่คาดผม สารพัดค่ะ บางรายประยุกต์ค่ะ ขายทั้งเครื่องประดับและเครื่องสำอางในตะกร้าเดียวกัน แบบทูอินวัน ไม่รู้บรรจุกันมาได้อย่างไร ตะกร้าก็แค่นั้น แต่ถามหาอะไรเป็นต้องมี อย่างกับกระเป๋าโดเรม่อนก็ไม่ปาน



โม้มาซะยาว คั่นเสียหน่อย หลายคนอาจจะแปลกใจว่า ทำไม เป้าหมายเขาถึงเป็นสาวๆ ที่อยู่ตามบาร์ ทำไมสาวๆ ไม่ออกไปหาซื้อกันข้างนอก และทำไม และทำไม เหตุผลก็คือว่า ในช่วงเวลาค้างคาวหากิน หรือหัวค่ำๆ เป็นเวลาที่พวกสาวๆ เขาเริ่มงานค่ะ เมื่อเข้างานแล้ว (เข้าบาร์นั่นแหละ) จะมีกฏว่าห้ามออกไปข้างนอก จะมีเวลาพักให้แต่แค่ไม่กี่นาที ใครเข้าสายเข้าช้าโดนหักกันเป็นนาทีค่ะ แถวนี้หักเงินกันโหดมาก เป็นร้อยเลยนะ เพราะฉะนั้นสาวๆ เหล่านั้นจึงไม่อยากจะเสี่ยงออกไปข้างนอก เพื่อแลกกับการโดนหักเงิน เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีพวกเร่ขายของมากมายในพัทยานี่แหละค่ะ อยากได้อะไร อยากกินอะไร เดี๋ยวมีรถ มีคนเดินมาเร่ขายถึงที่ ไม่จำเป็นต้องออกไปไหนเลย พ่อค้าแม่ขายทั้งหลายก็ไม่จำเป็นต้องมีร้าน ไม่ต้องเสียเงินค่าที่ ภาษีก็ไม่ต้องเสีย เสียค่าปรับถ้าเจอเทศกิจ แล้วหนีไม่ทัน สาวๆ ก็ไม่ต้องโดนหักเงิน เห็นไหมละคะ ผลประโยชน์มันลงตัว อะไรๆ มันก็ลงล็อก เช่นนี้แล


ยังมีอีกสารพัดชนิดค่ะที่เดินเร่ขายกันเนี่ย รองเท้าก็มีนะคะ ไฟแช็ค กระเป๋า นาฬิกา (ของก๊อปยี่ห้อดัง) ไหนจะพวกเร่ถ่ายรูปโพลารอยด์ ให้ถ่ายรูปคู่กับนางอาย งูเหลือม (งูเหลือมนี่น่าสงสารค่ะ โดนเย็บปากน่าสงสารน้องเหลือมแก) เร่ขายพวงมาลัย ดอกไม้สด พวงมาลัยนี่ไม่ใช่เฉพาะพวงมาลัยไหว้พระนะคะ แต่ยังมีพวกพวงมาลัยที่ร้อยจากดอกกล้วยไม้หรือบางทีเป็นดาวเรืองอะไรประเภทนั้น ไว้คล้องให้แขกต่างชาติค่ะ มีอะไรอีกมั่งนะ นี่ว่ากันเฉพาะพวกหอบของเร่ขาย ยังไม่นับพวกรถเข็นเลยนะคุณๆ


ว่าแล้วก็มาพูดถึงเรื่องรถเข็นกันเถอะ รถเข็นขายของในเมืองพัทยาเนี่ย จะมีหลายแบบค่ะ ที่เห็นกันเยอะมากๆ จะมีรถขายผลไม้ ขายยำ ขายไส้กรอกอีสาน และปลาหมึกย่าง ขายผลไม้ ขายยำ นี่ก็ของใครของมันค่ะ รถใครรถมัน แต่พวกขายไส้กรอกอีสาน หรือพวกหาบเร่ขายไข่ปิ้งไข่ปรุง ถั่วไรประเภทนี้ นี่มีแฟรนไชส์นะคะ อย่าทำเป็นเล่นไป เคยคุยๆ กับแม่ค้าขายไส้กรอก เลยได้ข้อมูลมาว่า รถแต่ละคันก็ไม่ใช่ของตนหรอก แล้วข้าวของนี่ก็ไม่ได้เตรียมเอง แต่จะไปรับมาจาก แม่ค้าเจ้าใหญ่ในซอยบัวขาว หรือที่ไหนสักแห่ง อันนี้ฉันจำไม่ได้แม่น เขาจะจัดของไว้ให้ขาย ทั้งไส้กรอก ไม้จิ้ม ผักเคียง ถุงพลาสติก หรืออะไร นี่ไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ แค่เตรียมตัวกับเตรียมแรงไว้เข็นรถเข็นขาย รวมถึงไว้เข็นหนีเทศกิจด้วยนะ จะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆ เลยละค่ะถ้าเรามองภาพรวมแล้ว แค่รถเข็นไส้กรอกอย่างเดียวนี่ก็มีกี่ร้อยคันก็ไม่รู้ทั่วเมืองพัทยาเนี่ย แล้วยังพวกหาบเร่ที่ขายไข่ปิ้ง ขายไรอีกนั่นละ เคยเห็นแม่ค้าขายไข่ปิ้งโดนจับที่ริมหาดค่ะ เห็นแล้วสงสารเหลือใจ เพราะป้าแกก็แลดูแก่มากแล้ว แล้ววิ่งหนีไม่ทัน ข้าวของนี่หล่นกระจายเต็มหาด เห็นแล้วบอกไม่ถูกค่ะ มันสลดใจกับภาพที่เห็น แต่ก็เข้าใจว่าหน้าที่ของตำรวจเขาก็มี จะว่าไปน่ะ เทศกิจเมืองพัทยาน่ะ ขยันนะคะ ดึกดื่นแค่ไหนก็ยังทำหน้าที่ไล่จับพวกพ่อๆ แม่ๆ นี่กันจนดึกจนดื่น ไม่ใช่เฉพาะเทศกิจหรอกค่ะ จราจรก็พอกัน ดึกดื่น ซอกไหนซอยไหน ไม่เกี่ยง พี่แกยืนคอยจับอยู่นั่นแหละ โดยเฉพาะช่วงใกล้ๆ สิ้นเดือน แหม น่าให้รางวัลเจ้าหน้าที่ดีเด่นเสียจริงๆ (นี่ชมนะคะ ไม่ได้ประชดแต่อย่างใด )



ก็เล่าให้อ่านกันตามที่เห็นค่ะ มันมีอีกเยอะแยะตาแป๊ะไก๋จริงๆ เรื่องเร่ขายของแถวนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนพื้นที่หรอกค่ะ เป็นคนมาจากถิ่นอื่นกันทั้งนั้น เข้ามาเพราะหาเงินกันง่าย จากได้ยินเขาเล่าว่า ไม่ต้องลงทุนมาก ลงแค่แรง เดินมันเข้าไป เดินถึงไหนถึงกันขอขายของได้ รถเข็นบางเจ้านี่ขายจนรวยนะคะ ไม่ต้องยกตัวอย่างไกลหรอก อันนี้ฉันยืนยัน แม่ค้าส้มตำหน้าบ้านฉันนี่แหละ เห็นตั้งแต่มาขายมีรถปิคอัพเก่าๆ คันเดียว จนเดี๋ยวนี้ แค่สามปีกว่า มีบ้านใหม่ รถอีกสองคัน แถมทองนี่เส้นยังกับโซ่ เห็นแล้วกลัวแทนโจรจะมาจี้ แหม ขายของกินนะคะคุณ แล้วถ้าอาหารอีสานที่คนอีสานอยู่กันเยอะๆ แบบนี้ ไม่ต้องห่วงค่ะ ขายดียังกับแจกฟรี เห็นคุณพี่แกตำส้มตำมือแทบไม่ได้ยกจากครกเลยทีเดียว ค่าที่จ่ายแค่ไม่กี่พัน ค่าน้ำไฟไม่เสีย คิดเอาเถอะ จะไม่รวยอย่างไรไหว ฉันเห็นแล้วยังร่ำๆ อยากเปลี่ยนอาชีพไปถือสาก เอ้ย ไปตำส้มตำเหมือนพี่แกทีเดียว ติดอย่างเดียว ไม่มีฝีมือค่ะ


รูปพวกนี้ถ่ายๆ จากแถวหน้าบ้านแหละค่ะ ไม่ได้ออกไปเดินถ่ายมา อาศัยว่ายกกล้องเล็งแล้วซูม เลยไม่ค่อยจะชัดเท่าไหร่ ^^"






ยกมาเล่า มาแบ่งปันให้รับรู้อีกด้านของเมืองท่องเที่ยวแบบพัทยาค่ะ ใช่ว่าจะมีแต่สถานที่ท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว หรือใช่ว่าจะมีแต่ธุรกิจทางเพศเพียงแค่นั้น ยังมีอีกเสี้ยวที่เหมือนเป็นส่วนเล็กๆ ของที่นี่ แต่หากจะดูจริงๆ ไม่เล็กเลยนะคะ ที่แต่งแต้มสีสันของเมืองพัทยาให้ไม่เหมือนใคร......

Friday, July 07, 2006

แ ม ง เ ม่ า

อยากเป็นแมงเม่า

อยากบินเข้ากองไฟ

อยากให้ปีกมอดไหม้

ให้สาแก่ใจที่ชอบท้าทาย

อยากเป็นแมงเม่า

อยากเต้นเร้ากับแสงสี

อยากปล่อยให้ใจรู้สึกดีๆ

ถึงรู้ว่าจะมีแค่ชั่วคราว

อยากเป็นแมงเม่า

ให้ปีกโดนเผาวอดวาย

ให้ความรู้สึกโดนทำลาย

สุดท้ายจะเป็นจะตายช่างมัน

......

ยังอยากเป็นไหมแมงเม่า

รู้ว่าเข้าหาไฟแล้วเป็นอย่างนั้น

ใจหนึ่งกล้าใจหนึ่งกลัวดึงไว้ทัน

เปลี่ยนใจแล้วเดินหันหลัง.... ไม่เป็นแล้วแมงเม่าหน้าโง่

ปราสาททราย

สุดท้าย
ปราสาททราย
ก็ทลายลง

ถูกน้ำกัดเซาะ
ทะเลถาโถม
สุดท้าย
ปราสาททราย
ก็หายไป

ปราสาททราย
อยู่ไม่นาน
สร้างง่าย
โดนทำลาย
หายไปก็ง่าย


เหมือนใจ
รู้สึกดีๆง่ายๆ
สุดท้าย
ก็แปลบเอาง่ายๆ เหมือนกัน

Friday, June 02, 2006

มีแฟนเหมือนมีตู้ ATM



เอาอีกแล้วฉัน รู้สึกอะไรแบบนี้ขึ้นมาอีกแล้ว เปล่าหรอกนะ ไม่ใช่ไอ้ความรู้สึกหวานแหววตะแหน่วๆ ที่มักจะเป็นอยู่พักนี้หรอก แต่เป็นความรู้สึกที่แบบรังเกียจ สะอิดสะเอียนกับลูกค้าบางคนมากกว่า จริงๆ ฉันรู้นะว่ามันเป็นงาน งานที่ฉันควรจะต้องทำเฉยเมินๆ ไปเสีย อย่าไปสนใจ ใส่ใจว่าเขาจะทำอะไรอย่างไร ไม่ควรที่ฉันจะต้องเก็บเรื่องเขามาเป็นอารมณ์ หรือไปรู้สึกกับสิ่งที่เขาทำ เพราะจริงๆ แล้วงานฉัน ทำให้เขา จบก็คือจบ แต่ทำไมมันไม่จบในความรู้สึกฉันก็ไม่ทราบได้

ฉันเคยเขียนเรื่องราวในพัทยามาบ้างหลายหน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชีวิตสาวๆ กลางคืนที่เขามาหากินแถวนี้ด้วยวิถีแห่งกามารมณ์เสียมากกว่า เพราะฉันคุ้นเคยกับพวกเจ้าหล่อน และได้รับรู้รับฟังปัญหาของพวกเธออยู่แทบทุกวัน บางคนก็เล่าเรื่องราวของตนให้ฉันฟังแบบตั้งใจ บางคนฉันสนใจฉันก็ชวนคุย เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ แต่ผู้หญิงบางคนที่ไม่ได้มีอาชีพขายเรือนร่างแลกเงินทองเหมือนพวกสาวๆ แบบนี้ ฉันกลับไม่อยากจะปริปากคุยด้วย คำน้อยก็ไม่เคยอยากจะเอ่ย หรือสนทนาพาทีแต่อย่างใด

ฉันเคยเขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่า สาวๆ พัทยาส่วนใหญ่มักจะเป็นสาวที่ทำงานบาร์ จะสาวเล็กสาวใหญ่ สาวที่อยู่กับบาร์ตั้งแต่สาวจนเหี่ยวแล้วเหี่ยวอีกยังไม่มีใครสอยไปจากบาร์เสียทีก็มี อย่างว่าพัทยาเป็นเมืองที่หากินกับชาวต่างชาติ หัวดำๆ ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียง หรือได้รับการยอมรับสักเท่าไหร่หรอกสำหรับชาวพัทยา แต่จริงๆ ควรจะบอกว่าสำหรับคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพวกหัวทองทั้งหลายเสียมากกว่า กระทั่งหอพักหรืออพาร์ทเมนต์บางแห่ง ไม่อนุญาตให้ชายไทยขึ้นไปนั่นแหละ แต่กลับอนุญาตให้ชาวต่างชาติขึ้นได้ ตลกดี ราวกับว่าผมสีทองๆ หัวแดงๆ นั้นเป็นใบผ่านทางชั้นเยี่ยม จะทำอะไรที่ไหนก็สะดวกดายเสียจริงกับที่นี่ บางทีแอบๆ คิดว่าหรือพัทยาจะเป็นเมืองขึ้นของต่างชาตินะ แล้วคนไทยเป็นประชากรชั้นสองของที่นี่

ชักเลยเรื่องที่อยากเขียนอีกแล้วสิฉัน นี่แหละน้า บางทีพอได้เขียนอะไร ก็มักจะไปเรื่อยๆ เขียนไปจนบางทีหยุดตัวเองไม่ได้ ความคิดมักจะพรั่งพรูออกมา ไม่เคยคิด ไม่เคยเตรียมไว้ก่อนว่าจะเขียนเรื่องอะไร การเขียนของฉันมันเกิดจากอารมณ์แท้ๆ เทียว ดูเอาเถิด เริ่มนอกเรื่องไปอีกแล้วฉันนี่ น่าตีมือเสียจริง

ว่าแล้วก็กลับเข้าเรื่องที่ฉันงึมงำไว้ด้านบนจะดีกว่า สิ่งที่พยายามจะสื่อ ก็คือว่า ไม่ใช่มีแต่ผู้หญิงที่ทำงานบาร์อย่างเดียวหรอกนะ ที่เห็นว่า ฝรั่งเป็นพระเจ้า เพราะคนอาชีพอื่นๆ ผู้หญิงอื่นๆ ก็มักจะเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน ไม่เว้นแม้แต่สาวๆ ที่ขายของตามห้าง หรือที่เขาเรียกกันว่า pc หรือพนักงานขายนั่นแหละ พัทยามีห้างอยู่หลายห้างนะ แต่ห้างที่อยู่ใกล้ฉันเนี่ยเป็นห้างท้องถิ่นของนักการเมือง นักธุรกิจใหญ่คนหนึ่ง พนักงานขายในนั้นก็เยอะแยะ มีแฟนเป็นต่างชาติกันเพียบ นอกจากจะเห็นว่าฝรั่งหัวทองดีกว่าหนุ่มๆ ไทยแล้ว สาวๆ เหล่านี้ยังมองเห็นเป็นตู้กดเงินอัตโนมัติอีกต่างหาก หรือจะเป็นโชคดีของหนุ่มไทยกันแน่นะ ที่สาวๆ เหล่านี้เมินเขาไป ฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ ทำไมคนไทยชอบคิดว่า ฝรั่งหรือต่างชาติต้องมีเงิน ยิ่งเห็นบางคนบูชาฝรั่งหัวแดงเสียจนมองไม่เห็นหัวคนไทยด้วยกัน คิดกันจังว่าพวกนี้ดี หลายคนทำงานเป็นกุลที่บ้านตัว พอมาเมืองไทยก็กลับมีคนเอาอกเอาใจพินอบพิเทาเสียจนเหมือนราชา ชีวิตนี่น้อ มันช่างขึ้นกับเงินตราจริงๆ

ลูกค้าคนที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบเอามากๆ ถึงขั้นเวลาส่งจดหมายให้เธอแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนเสียเหลือทนก็เป็นหนึ่งในประดาสาวห้างเหล่านี้แหละ ไอ้อาชีพแบบฉันเนี่ย ต้องคอยรับรู้เรื่องส่วนตัวของคุณๆ เธออยู่ตลอด ด้วยความที่ต้องคอยสื่อสารให้เขา ต้องคอยแปลจดหมายให้เขา แล้วกับสาวเจ้านางนี้นะ จริงๆ ก็ไม่สาวเท่าไหร่แล้วล่ะ อายุพอประมาณแล้ว มีลูกสามคน ครั้งหนึ่งยังเคยนึกชมเชยเธออยู่ในใจว่าตัวคนเดียวเลี้ยงลูกนี่ช่างเก่งเสียจริง แต่หลังๆ ความชื่นชมของฉันมันค่อยๆ เลือนหาย ไป พร้อมกับความรู้สึกประหลาดๆ เพิ่มเข้ามาแทน นับวันยิ่งมากทบทวี นับวันยิ่งรังเกียจ ทุกครั้งที่แปลจดหมายและส่งไปให้แฟนชาวต่างชาติของเธอ ทุกครั้งที่ต้องคอยเขียนอีเมลบอกเล่าสิ่งที่เธอต้องการ เธอจะมาหาฉันประมาณสัปดาห์ละครั้ง เชื่อกันหรือเปล่า นับตั้งแต่ฉันเห็นเธอมาหลายเดือนนี้ ไม่มีครั้งไหนที่เธอส่งอีเมลโดยไม่พูดถึงเงิน ทุกครั้งที่เธอส่งไป มักจะพร่ำพรรณาว่า ชีวิตเธอลำบากนัก ต้องเลี้ยงดูลูกอยู่คนเดียว ลูกสามคนต้องมีเธอเป็นผู้ดูแล ลูกสาวฝากไว้กับแม่ ลูกชายไว้กับตัวเอง เงินเดือนพนักงานขายอย่างเธอก็ได้น้อยนัก ขอความกรุณาช่วยส่งเงินช่วยเหลือเลี้ยงดูด้วย ฉันนึกสงสัยอยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมพอมีแฟนฝรั่งแล้ว ชีวิตเธอดูเหมือนจะลำบากลำบนมากมายเหลือเกิน พลอยให้ฉันฉงนว่า แล้วเมื่อก่อนก่อนจะมามีแฟนคนนี้ เธอมีชีวิตรอดมาได้ยังไง(วะ) ทำไมพอมีแฟนต่างชาติแล้ว นั่นก็แย่ นี่ก็ไม่ไหว ล่าสุด พิโอดพิครวญไปในจดหมายว่า ลำบากมาก ต้องเดินกลับห้องทุกวัน ต้องตื่นแต่เช้าพาลูกไปส่งโรงเรียน ต้องเดินกลับเข้าซอย มาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน วันละหลายๆ รอบ ร้องขอจนจะได้รถจักรยานยนต์มาเป็นพาหนะ ไอ้ทีแรกบอกว่าให้เขาดาวน์ให้ ตนจะผ่อนเอง หลังๆ บอกว่า หวังว่าคงจะช่วยแล้วไม่ทิ้งกันดื้อๆ ฉันก็สงสัยอีกแหละว่า เอ๊ะยังไง ตกลงใครจะส่งให้หว่า ว่าไปฉันก็ลูกอีนังช่างสงสัยกับชีวิตชาวบ้านเขาจริง ๆนะ ล่าสุดคืนก่อน เธอมาพร้อมกับเรื่องมอไซด์อีกแล้ว คราวนี้บอกว่ารถที่ไปดูเป็นรุ่นใหม่ แพงขึ้น แต่เหมาะกับผู้หญิง อย่างนั้นอย่างนี้ร้อยพันเหตุผลที่เธอยกมา แล้วก็ตบท้ายไปว่าเงินค่ามอไซด์คงไม่เกี่ยวกับเงินเดือนประจำของเธอ ... ฉันไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ ว่าทำไมชาวต่างชาติที่มาพัทยาถึงมักจะดูถูกคนไทยนักหนา ก็คนไทยชอบทำให้เขาดูถูกเองนักนี่ มีแฟนไว้คอยไถตังแท้ๆ เทียว เผลอๆ ฉันก็มองๆ เห็นมือเธอถือเตารีดติดมาด้วยนะเนี่ย หลังๆ เป็นเตารีดไอน้ำด้วยสิเอ้า

จะว่าไป ฉันจะไปยุ่งวุ่นวาย ไปรู้สึกอะไรกับชีวิตเขาก็ไม่รู้ แต่บางเรื่องมันรู้เข้ามากๆ ก็รู้สึกไปด้วย เห็นแล้วสมเพช แกมรังเกียจ จะต้องเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน จะต้องให้เขาดูถูกคนไทยไปอีกนานไหม เฮ้อ


Thursday, April 27, 2006

Pattaya Series ~~ ว่าด้วยเรื่อง "นม"

อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันเขียนว่า "นม" จริงๆ นมที่แปลว่าอวัยวะส่วนหนึ่งของผู้หญิงนั่นแหละ ไม่ใช่นมจากเต้า จากโค จากฟาร์ม หรือนมกล่อง นมขวดที่ไหน แต่เป็นนมดึ๋งๆ ของสาวๆ นั่นแหละค่ะ


แรกทีเดียวว่าจะยังไม่เขียนเรื่องนี้หรอก แต่วันนี้บังเอิ๊ญ บังเอิญ ไปเห็นกระทู้ว่าด้วยเรื่องดาราสาวสวยวัยใส ไปอัพนมมา จากไข่ดาวเลยกลายเป็นกะลามะพร้าวห่างๆ เหตุผลของเธอ บอกว่าเพื่องาน อืม จากสาวน้อยหน้าใส เลยกลายเป็นสาวทรงโตแสนเซ็กซี่ไป ได้อ่านเหตุผลเธอแล้ว เลยไพล่คิดไปถึงบรรดา "สาวๆ" แถวนี้ที่นิยมไปทำกันมาเหมือนกัน รู้สึกว่า เดี๋ยวการทำอึ๋มเนี่ยจะกลายเป็นค่านิยมที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายกันไปเสียแล้ว จริงๆ ไม่เฉพาะการทำศัลยกรรมเพิ่มขนาดหน้าอกหรอกนะ ยังมีศัลยกรรมอื่นๆ ที่นิยมทำกันมาก่อนหน้านี้นานพอสมควรแล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฉีดคาง ฉีดปากให้ดูอวบอิ่ม เสริมจมูกบ้างล่ะ ทำตาสองชั้นมั่งล่ะ รวมถึงการเฉาะของสาวประเภทสองด้วย


เดิมตั้งใจว่าจะรวมเรื่องนี้ไว้กับเทคนิคการทำอาชีพนี้ของสาวๆ แถวนี้เขา แต่ท่าทางขืนรอไปนานกว่านี้ ฉันคงหมดความตั้งใจจะเขียนเหมือนเรื่องเดิมๆ ที่เคยทำมาก่อน เนื่องจากความขี้เกียจมันเกาะตัว พอวันนี้เห็นอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองขยันเขียนขึ้นมาหน่อย เลยรีบเขียนเสียก่อนที่ไฟจะมอดเป็นเถ้าอีกดีกว่า
กลับมาเรื่องนมกันต่อ เมื่อสักสองสามปีก่อนเนี่ย การทำศัลยกรรมเพื่อเพิ่มขนาดหน้าอกของสาวๆ แถวนี้เขายังไม่เป็นที่นิยมกันมากมายขนาดนี้ อย่างดีก็จะมีการฉีดแก้ม ฉีดคาง ทำจมูกบ้าง เหตุผลนะเหรอ ก็เพื่อเรียกลูกค้านะสิ ฉีดปากให้ดูเต่งตึง เต็มอิ่มน่าสัมผัส เสริมจมูกให้ดูสวยขึ้น จากที่ไม่มี ก็เป็นมี บางคนมาอยู่พัทยา 4-5 ปี กลับไปบ้านอีกทีคนที่บ้านแทบจำไม่ได้ เพราะหน้าตาเธอเปลี่ยนไปเยอะพอดู หลังๆ นี่ สาวๆ จะเริ่มนิยมทำหน้าอกมากขึ้น รายล่าสุดที่ฉันเพิ่งเจอ และเพิ่งจับมา (จับจริงๆ ส่วนใหญ่สาวๆ พวกนี้มักอยากอวด แล้วก็ชอบเอามือฉันไปวางแหมะบนนมที่เพิ่งจะอัพไซส์ขึ้นมา ทั้งๆที่ฉันไม่ได้เต็มใจเล้ย ก็ใครจะอยากไปจับของคนอื่นเพศเดียวกันเล่า แฮ่ม) สาวรายนี้ เป็นลูกค้าฉันมาสองปีกว่าได้แล้วละมั้ง แต่เธอหายไปพักใหญ่ๆ นับตั้งแต่ทิ้งหนุ่มเมกันผิวดำให้ช้ำใจ ไปกับหนุ่มฝรั่งเศสกิ๊กเก่าของเธอ วันก่อนนี้เธอมาที่ร้าน พร้อมแฟน ปล่อยให้แฟนทำธุระของตัวไป ส่วนเจ้าหล่อนก็หันมาคุยกับฉัน คุยไปเรื่อย สายตาเหลือบไปเห็นมะพร้าวลูกย่อมๆ ของคุณเธอเข้า ปากไวเท่าความคิด "ทำไมเหมือนนมโตๆ ขึ้น" หนูแกหัวเราะกิ๊ก แล้วบอกว่า "ไปทำมาพี่ สวยไหม" อื้อ สวยดีนะ ดูเป็นธรรมชาติดี เข้าที่แล้วเหรอ บลาๆๆๆๆ แล้วสักพัก ท่าทางจะเห็นฉันสงสัยมากกระมัง เธอเลยคว้ามือฉันไปหมับเข้าที่หน้าอกเธอ อืมม มันก็นิ่มๆ เหมือนของแท้เหมือนกันนะ ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าไปทำมา (อันนี้ฉันคิดในใจนะ) เดี๋ยวนี้หมอก็ทำเก๊ง เก่ง หาแผลเผลอแทบไม่มี ปิดซะมิดเชียว ฉันได้ข่าวว่า หมอบางเจ้าเนี่ย ทำเสร็จแล้ว สองวันก็ทำงานได้เลย อะไรจะด่วนได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้สิ


ว่าด้วยเรื่องการทำนม ต่อ เหตุผลของสาวๆ มักจะบอกว่า อยากมี อยากสวยบ้าง มันจะได้เป็นที่ดึงดูดสายตา เรียกลูกค้าได้ดี ไรแบบนี้ พอฉันทักว่าไปทำ ทำไม ของเดิมมีก็ดีอยู่แล้ว แฟนก็มีแล้ว จะไปทำทำไม แค่นั้นแหละ อู้ยย สารพัดค้อนจะเขวี้ยงมาหาฉัน พร้อมทำตาประหลับประเหลือก เหตุผลอะไรนั้นอย่าให้บอกเลย แฮ่ๆ แต่รายนี้สิ เหตุผลเธอเด็ดสุดสำหรับฉัน "ก็เมื่อก่อนหนูมีนมนะพี่ พอคลอดลูก นมก็หายหมดเลย พอมีผัวคนนี้ เขาให้เงิน หนูก็เลยไปทำ นมเล็กๆ หนูไม่มั่นใจ ใส่เสื้อผ้าไม่สวย เดินไปไหนก็รู้สึกอายเขา" เอากะเธอสิ แต่จะว่าไป ก็รู้สึกว่าจะหลายรายเหมือนกันที่บอกว่า หน้าอกเล็กเป็นปมด้อยอย่างแรงในชีวิต ไม่คิดมั่งหรือไงนะว่ามีมากไปก็หนักใจเหมือนกันนะ


แต่เหตุผลของคุณสาวๆ ทั้งหลายก็มักจะเกี่ยวกับเรื่องงานนั่นแหละ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เงินน้อยๆ แต่พวกเธอก็ยอมลงทุน สนนราคาที่ทำก็เริ่มตั้งแต่
3 หมื่นกว่าๆ ไปจนถึง 5-6 หมื่น บางคนลงทุนไปทำถึงยะลา คนที่ไปทำที่ยะลาเนี่ย เป็นสาวประเภทสองที่เดินทางไปหากินแถวสิงคโปร์พัทยาเป็นว่าเล่น เธอให้เหตุผลที่ต้องไปอัพไซส์ไกลถึงชายแดนแบบนั้นเพราะว่า "หมอเก่ง ทำออกมาสวย ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งเป็นกะลา ไม่ห่างเป็นกิโล แล้วก็ไม่แพงด้วย" ก็ต้องยอมรับของเหตุผลของแต่ละคนกันไป แต่อย่างว่า อาชีพพวกนี้ ถ้าไม่ใช้รูปร่างหน้าตาหากินก็ลำบาก ต้องคอยหาจุดเด่นมาดึงดูดความสนใจของลูกค้า อย่างไรก็ดี ลำพังรูปร่างหน้าอย่างเดียวบางทีก็ไม่พอหรอกนะ มันต้องมีเทคนิคอื่นๆ อีก อันนี้ค่อยว่ากันต่อไปในคราวหน้า (ถ้าขยัน)



"อกหักเรื่องเล็ก นมเล็กเรื่องใหญ่" สงสัยจะเป็นคติประจำใจของสาวๆ สมัยนี้แล้วกระมัง

Thursday, January 19, 2006

+ + + เกลั้ง ถนนสีม่วง + + +

ถนนสีม่วง

.

ทิ้งไว้เสียนาน ตั้งใจว่าจะกลับมาเขียน ก็มีเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้ไม่ได้เขียนสักที ว่าไปก็เหมือนแก้ตัว (ก็จริงอย่างที่ว่านั่นแหละ ^^") อย่างไรเสียวันนี้ก็ได้ฤกษ์แล้ว

ว่าด้วยเรื่องราวของเพศที่สามในสิงคโปร์ ขอออกตัวก่อนว่า ฉันมีข้อมูลเรื่องนี้ไม่มากเท่ากับเรื่องสาวๆ ในเมืองพัทยา แต่เห็นว่ามันเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง และมองๆ ว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เลยอยากะจะเขียน ส่วนจะมีใครใคร่จะอ่านไหมนั่น ก็สุดปัญญาจะคาดเดา เอาเป็นว่า เขียนเพื่อสนองความอยากของตัวเองทั้งนั้นแล

นับตั้งแต่มาอยู่พัทยาหลายปีนี้ เรื่องราวของสาวไทยที่ไปหากินไกลถึงแดนลอดช่องก็มีมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ หมดหน้าทัวร์ สาวๆ ก็จะย้ายถิ่นฐานกันประหนึ่งนกที่หนีหนาวมาไทยอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกันกับสาวไทยที่ยึดอาชีพนี้เลี้ยงตัว ไม่ว่าจะอยู่มุมไหน จะพัทยา หรือป่าตอง หรืออ่าวนาง ถึงเวลาหมดหน้าทัวร์มา นกสาวๆ เหล่านี้ก็ต้องหาทางขยับขยาย หาช่องทางทำกิน ตามแต่ภาระที่ตัวมี หลายคนก็ไม่จำเป็นต้องไป ก็อยู่ที่เดิมมันนี่แหละ เพราะมีคนรับเลี้ยง หรือไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก แต่บางคนจะด้วยว่าภาระบังคับเหมือนไฟท์ที่ต้องขึ้นชกแล้ว อย่างไรเสียก็หลีกเลี่ยงยาก ปากเดียวยังพอทน แต่อีกหลายปากที่ต้องพึ่งตนเนี่ยสิ แม่ที่ดี ลูกที่ดี ก็ทนไม่ได้ หาทางทำกินต่อไป ถึงกับต้องไปหาทางขยายแฟรนไชส์ที่บ้านใกล้เรือนเคียงของไทย อย่างสิงคโปร์ เพราะขึ้นชื่อว่า แขกดีกว่า เงินดีกว่า รู้สึกว่าฉันจะนอกเรื่องอีกแล้ว หรือจริงๆ ไม่ได้ถือว่านอกเท่าไหร่หรอก ถือว่าเป็นแขนงหนึ่งของเรื่อง series เมืองพัทยาเสียแล้วกันนะ

อย่างที่บอกว่าอยู่พัทยามาหลายปีดีดัก ก็เห็นทั้งสาวแท้ และสาวเทียม งามงด หรืองามแงะมาก็เยอะ แต่ไม่เค้ย ไม่เคยรู้ว่า บรรดาสาวสีม่วงๆ เหล่านี้จะข้ามถิ่นหากินไกลถึงเมืองลอดช่องกับเขาด้วยเหมือนกัน ยังไม่พอ ยังมีถิ่นทำกินกันเป็นหลักแหล่ง เป็นที่ขึ้นชื่อว่า เป็นถนนสำหรับคนที่มีรสนิยมทางเพศแบบนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว เกือบๆ จะว่าได้ว่า ถนนสายนี้เป็นถนนของชาวสีม่วงอย่างแท้จริง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหยามเหยียด หรือหมิ่นเพศที่สามในที่นี้เลยแม้แต่นิด เพราะคนที่ฉันสัมผัส และแอบสัมภาษณ์โดยที่เธอไม่รู้ตัวนี้ก็น่ารัก นิสัยใช้ได้ กริยามารยาทก็นุ่มนวล น่ารักดีทีเดียว ไม่เฉพาะคนเดียว แต่หลายๆ คนที่ฉันพบมา ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นความเรียงที่จะเขียนเหล่านี้ เป็นข้อมูลที่ฉันได้สัมผัสจากคนที่คลุกคลีกับที่นั่นจริงๆ อยากจะไปสัมผัสด้วยตา ก็จนปัญญา ^^"

ต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า เพศที่สามในที่นี้ จะหมายถึงสาวเทียม ที่ทั้งเฉาะแล้ว หรือทำทั้งตัวแล้ว หรือจะเป็นข้างบนอัพแล้วแต่ข้างล่างยังคงสภาพเดิมอยู่ โดยมากจะแต่งหญิงกันทุกนาง แต่ละคนก็สวยๆ ทั้งนั้น ฉันว่านะกระเทยไทยนี่สวยที่สุดจริงๆ เคยเห็นพวกกระเทยหุ่นไม่ให้แต่ใจรัก อย่างฝรั่งหรือชาวต่างชาติที่มาหลุดโลกแถวนี้แล้วอึ้งไปหลายวิ บางนาง(ไม่ค่อยอยากจะใช้คำว่านางเล้ยยยย) หุ่นนี่น้องๆ คนเหล็กอาร์โนลด์ ท่านผู้ว่าดีๆ นี่เอง แต่โทษทีเถิ้ดดด แม่คุณ ล่อใส่กระโปรงสีเหลืองอ่อน เสื้อสายเดี่ยวสีฟ้า อวดโฉมเนื้อหนังที่ปานประหนึ่งจะไปประกวดชายงาม หุ่นราวกับยักษ์ปักหลั่นแบบนั้น แต่มองไปนานๆ ก็คิดๆ เหมือนกันว่า เออ เขารักของเขาจริงๆ ถึงสภาพภายนอกจะไม่อำนวย แต่ความมั่นใจนี่เต็มร้อยจริงๆ เอากับแม่คุณสิ

ส่วนกระเทยไทยรึ อย่างน้องปอยนั่นประไร คนอะไร้ เกิดมาผิดเพศจริงๆ สวย กริยา ท่าทาง นุ่มนิ่มเสียจนผู้หญิงแบบฉันอาย อยากกลับไปเกิดใหม่เสียบ่อยเลย ดีกว่าน้องปอยก็ตรงมีมดลูกแค่นั้นเอง ^^" สาวๆแถวนี้ก็เหมือนกัน บางนางก็สวย บางนางก็สลด แต่เมื่อมาอยู่แถวนี้แล้ว อาชีพสำหรับสาวประเภทสองก็มีไม่มากสักเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่เป็นนางโชว์ ก็ไม่พ้นต้องขายบริการอย่างที่กำลังจะบอกนี่แหละ (อารัมภบทมาตั้งนาน ยังไม่เล่าอีกเรอะ - -" )


เอาเป็นว่า ถิ่นที่เป็นที่นิยมของสาวประเภทสอง และเกย์สาวทั้งหลายในสิงคโปร์นั้น มีชื่อว่า เกย์ลั้ง (ฉันไม่รู้ว่าฉันเขียนชื่อถนนถูกหรือเปล่า เพราะเขียนตามคำบอกเล่าของแหล่งข้อมูลฉัน) ถนนสายนี้ขึ้นชื่อว่า เป็นแหล่งสำหรับผู้นิยมสาวประเภทนี้เท่านั้น สาวๆ แท้อย่าได้หลงเข้าไปเชียว มีสิทธิงุนงงและเจ็บตัวกลับมาจริงๆ ด้วย เพราะนอกจากจะมีแต่สาวประเภทสองแล้ว ยังขึ้นชื่อว่าดุอีกต่างหาก ห้ามหากินข้ามถิ่น เขตใครก็เขตใคร เพราะที่ถนนเส้นนี้ จะแบ่งเป็นโซนๆ ทำการโซนนิ่งไป ว่า ตรงมุมนี้เป็นของ สาวจีน ถัดมาหน่อย เป็นสาวสิงคโปร์ ถัดมาอีกสักนิด เป็นสาวชาติอื่นว่ากันไป ห้ามล้ำเขตซึ่งกันและกัน แต่ละโซนก็จะมีเจ๊ใหญ่คอยคุม ถ้าเข้าถูกทางก็จะสบายไป แต่ถ้าเข้าไม่ถูกทาง ก็ซวยไปตามระเบียบ

ฉันถามแหล่งข้อมูลฉันว่า แล้วพวกที่มาเที่ยวชอบแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่าง ของเทียมที่เหมือนของแท้ กับของเทียมที่ครึ่งๆ กลางๆ ได้รับคำตอบมาว่า แล้วแต่รสนิยม บางคนเดินดุ่มเข้ามา ตกลงราคาเสร็จ จูงมือเข้าห้องที่เรียงรายกันตามถนนนั้นแล้ว กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เห็นว่าไม่มีเข็มเหมือนกัน พี่แกหมดอารมณ์เอาดื้อๆ แล้วมีบอกด้วยว่า ไม่มีแล้วทำไมไม่บอก บางคนบอกว่า มีเหมือนกันจะให้อารมณ์มากกว่า ฉันว่า ฉันอย่าเขียนตรงจุดนี้มากไปกว่านี้เลย ยังไม่อยากจะเปลี่ยน theme blog ของฉันเป็น erotic blog ตอนนี้หรอกนะ

สาวๆ ที่อยู่ที่นั่น วันๆ รับแขกไม่ต่ำกว่า 3-4 รอบ ยิ่งได้รอบมากยิ่งหมายถึงได้เงินมากขึ้น ฉันเคยถามเรื่องการจ่ายเงิน บอกว่า เมื่อตกลงราคา ลากเอ้ย จูงกันเข้าห้องแล้ว ต้องรับเงินก่อน ไม่งั้นไม่ยอม เพราะเคยมีปัญหากันอยู่บ่อยๆ สำหรับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นต้องเงินมาก่อนเสียวทีหลัง ว่ากันตามนั้นไป จริงๆ ที่ทำมาหากินของสาวๆ ประเภทสองไม่ใช่มีแต่ที่นี่ที่เดียว แต่ยังรวมไปถึงย่าน Orchard แหล่งชอปปิ้งขึ้นชื่อนั้นด้วย เพราะจะมีแหล่งเที่ยวกลางคืนมากมาย แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากสาวๆ ที่ต้องการเงินเหล่านี้มากนัก เพราะเธอบอกว่า เวลาไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์แถวนั้น ต้องมีแต่นางฟ้า จะไปก็ต้องเสียเงินค่าดื่ม ค่าแต่งตัว แล้วกว่าจะสีแขกได้ ก็ลำบากลำบน โชคดีได้แขกกระเป๋าหนักก็ดีไป แต่โชคไม่ดี ก็หาแขกไม่ได้เสียเงินฟรีก็มีบ่อยไป เพราะฉะนั้นสู้ยืนอยู่ตามเสา เอ้ย ตามถนนเกย์ลั้งนี่แหละดีแล้ว เพราะอย่างไรเสียก็ขายได้แน่ๆ ในเมื่อหนุ่มๆ หรือแก่บ้างกลัดมันต่างก็พร้อมจะมาปลดเปลื้องอารมณ์ของตัวอยู่แล้ว เป็นการรับประกันว่า อย่างไรเสียคืนนี้ก็ไม่มีขาดรายได้แน่นอน


คิดๆ ตามเขาไปก็จริงนะ แต่อาจจะต้องทนรับแขกที่แย่หน่อย หรืออาจจะร้ายกว่านั้นก็มี เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เลือกยากสำหรับเธอๆ เหล่านี้ แต่จะอย่างไรเสีย เธอๆ เหล่านี้ก็คน หลายคนที่น่ารักก็มี ที่ดีก็มาก แต่ชีวิตก็มีทางเดินที่ต่างกัน ถือเสียว่า เรื่องราวเหล่านี้เป็นสีสรรให้กับชีวิตคุณๆ ก็แล้วกันนะคะ

.