Tuesday, December 06, 2005

ผ้าขาวที่เปื้อนแล้ว...

ฉันยังคงอยู่ที่เดิม เรื่องราวที่พบเห็นก็เดิมๆ เป็นวัฏจักรเดิมๆ กับภาพที่เห็นที่เห็นจนชินตา กับเรื่องราวที่ผ่านโสตสำเนียงจนคุ้นหู แต่จนแล้วจนรอด เรื่องบางเรื่อง คนบางคนก็ไม่สามารถทำให้ฉันชินไปได้สักที โดยเฉพาะเรื่องราวของหนูคนนั้น คนที่ฉันเคยเขียนเรื่องของแกเมื่อสักครึ่งปีที่แล้ว http://jengly.blogspot.com/2005/06/blog-post.html นับแต่วันนั้น แกก็ยังวนเวียนเข้ามาในร้านฉันอยู่บ่อยครั้ง พร้อมๆ กับหลายสิ่งหลายอย่างในตัวแกที่เปลี่ยนไป

ฉันเฝ้ามองดูแม่หนูคนนี้ ทุกครั้งที่แกมา ฉันรู้สึกได้ว่า สายตาแกจะไม่เหมือนเดิม แววตาที่เคยดูซื่อ ใส นั้นค่อยๆ หายไป ความกร้านโลก ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพของแกดูจะเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในแววตา และในท่าทาง แต่กระนั้นก็ดี หนูแกก็ยังเป็นคนเดิม นิสัยยังน่ารัก กริยายังคงเรียบร้อย แต่ความรู้สึกฉันก็บอกได้เสมอว่า "ผ้าขาวผืนนี้มันเปื้อนแล้ว"

ฉันเคยมองเด็กคนนี้ว่าเป็นผ้าขาว ที่มาอยู่ผิดที่ผิดทาง เด็กแบบนี้ไม่น่าที่จะต้องมาเกลือกกลั้วเคล้าโลกีย์กับโลกแบบนี้เลยสักนิด แต่ทางเลือกของชีวิตคนคงไม่ได้มีให้เลือกมากมายนัก หากเลือกกำหนดชีวิตตัวเองได้ เหมือนหาซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วละก็ ทั้งที่พัทยาและที่อื่นๆ คงจะขาดสาวๆ ที่มาช่วยส่งเสริมธุรกิจแบบนี้ไปเยอะแน่ๆ

วันเวลา ความสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เหมือนสีที่สาดใส่ผืนผ้าขาวนี้ จนค่อย ๆ ซึมซับรับวัฒนธรรม และกลายเป็น "ผู้หญิงบาร์" ได้อย่างเต็มตัว มันคงเป็นเรื่องยาก ที่ใครสักคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะดำรงตัวเองให้เป็นตัวตนเช่นเดิม โดยที่ไม่เปลี่ยนไปเลย สิ่งแวดล้อม ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้จริงๆ ผนวกกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เร่งเร้าเข้ามา ก็ยิ่งทำให้ผ้าขาว กลายเป็นผ้าสีเทาได้มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างหนึ่งที่หนูคนนี้ยังเหมือนเดิม คือ ศรัทธาในรัก ความรักยังคงมีอยู่ในสายตาของเธอ และดูจะมากขึ้น จนทำให้เธอกล้ามากขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน วิถีการทำงาน สังคมแวดล้อมเธอก็ยังทำให้เธอกร้านขึ้นอีกด้วย เห็นแล้วฉันก็แสนเสียดาย เด็กสาวซื่อๆคนนั้นจริงๆ




ได้แต่หวังว่า กระแสสังคมและวัฒนธรรมคนกลางคืน จะไม่ทำให้เธอเสียตัวตนไปจนหมด กระทั่งความรัก

Monday, October 24, 2005

ความคิดผู้หญิง / ความคิดผู้ชาย




วันนี้ คงจะเป็นครั้งแรกที่จะบ่นสองเรื่องในครั้งเดียวกัน combine มันเสียเลย หลังจากคันมืออยากจะเขียน อยากจะบ่นเรื่องความขี้เกียจ หรือจะเรียกว่าความเห็นแก่ตัวของผู้ชายมาหลายวัน ประจวบกับหงุดหงิด กับใครบางคน เบื่อกับความคิดอะไรบ้าๆ ของเจ้าหล่อน เปล่าหรอก ใช่ว่าตัวฉันเองจะดีเลิศ ความคิดดี ประพฤติดีกว่าใครๆ เขา ก็คนปกติธรรมดาๆ ที่สามารถหาได้ตามตลาดนัดทั่วๆ ไปนั่นแหละฉัน เพียงแต่ว่าเรื่องบางเรื่อง ความคิดบางอย่างมันก็อาจจะต่างๆ จากชาวบ้านเขาอยู่สักหน่อย แต่วันนี้ขอสักวันเถอะ ขอบ่นผู้หญิงบางคน กับผู้ชายเห็นแก่ตัวบางส่วนสักที อาจจะอารมณ์เฟมินิสต์ไปสักหน่อยวันนี้ ถ้าไปเหยียบหางใครเขาก็ขออภัย (ถ้ามีใครอ่านนะ อิอิ)

ว่ากันด้วยเรื่องของผู้หญิงก่อนแล้วกัน ไม่ใช่อะไรมากมาย แค่คนรู้จักอีกคนหนึ่งที่มานั่งร้องห่มร้องไห้ ด้วยเรื่องที่ฉันถือว่ามันบ้าบอไร้สาระสิ้นดี มาบ่นกับฉัน แทนที่ฉันจะปลอบใจ กลับโดนฉันด่ากลับไป ไม่รู้คุณเธอจะกลัว หรือคิดได้ เลยเลิกร้องไห้ อันนี้ฉันก็จนด้วยเกล้า ไม่ให้บ่นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแม่เจ้าประคุณเกิดอาการนอยด์แหลก เพราะสามีไปทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานที่เคยกิ๊กกันอยู่สมัยสามีเธอยังทำงานอยู่ที่เมืองไทย แต่เขาก็ไม่ได้ไปคนเดียว ไปกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อีกหลายคน ที่สำคัญ คุณเธอสองคนแต่งงานกันแล้ว จะมาคิดอะไรมากมายนักหนาฉันก็ไม่รู้ หรือมันเป็นนิสัยของผู้หญิงทั่วๆ ไปที่ชอบเก็บเอาเรื่องเก่าๆ มาฟื้นฝอยมองหาตะเข็บกันนะ หรือฉันมันตัวประหลาดเนี่ย

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า คุณสามีโทรมา แล้วรายงานภริยาที่อยู่เมืองไทยว่า วันนี้ทำงานเสร็จแล้วไปทานข้าวกับคนนี้ๆๆ นะ เรียกว่าเป็นรายงานแจงละเอียดยิบว่าไปกับใครบ้าง เหลือแต่จะบอกว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นมีอะไรเท่านั้นเอง แต่แทนที่คุณภริยาจะดีใจที่สามีรายงานตัวเสียแบบนั้น เธอกลับเกิดอาการคิดมาก เพราะมีใครบางคนเคยบอกเธอไว้ว่า สมัยสามปีก่อนที่สามีจะมาเจอกับเธอนั้น สามีเธอเคยชอบๆ กับเพื่อนร่วมงานคนนี้ แต่ๆๆ มันเป็นสิ่งที่จบไปแล้วนี่นา ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักหรอก ความคิดของผู้หญิงที่มีคู่แล้วต้องอยู่ห่างกันน่ะ เพราะจากที่ฉันเห็นคนคู่นี้มาตลอด ฝ่ายชายเขาแสดงออกสม่ำเสมอว่ารักและแคร์ฝ่ายหญิงมากเพียงใด คำน้อยก็ไม่เคยมีต้องให้เสียใจ ให้เกียรติ และดูแลสาวเจ้าด้วยดีตลอดมา กระทั่งจะไปไหนยังต้องคอยบอกกันแทบจะทุกฝีก้าว ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำ แต่เขาก็ยังทำ เธอวางหูจากสามีเสร็จ แล้วเริ่มนั่งบ่น ทำไมต้องมาแต่งงานกับคนมีอดีตแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ เดี๋ยวคนนั้นมาบอกว่า แฟนเก่าเขาเคยถามหา แฟนเก่าเขาอยากให้อภัย นี่ก็มีกิ๊กเก่าที่ทำงานที่เดียวกันอีก ไอ้ฉันครั้นอดรนทนไม่ไหว ต่อมเจือกมันทำงาน เลยถามไปคำว่า "นี่เธอ ว่าแต่เขา ตัวเธอน่ะ อดีตไม่มีหรือไง" จริงๆ ก็ใช่เรื่องของฉันหรอกนะ แต่มันหงุดหงิด มานั่งคร่ำครวญเรื่องอดีตที่มันผ่านมาแล้วอยู่ได้ ไม่เข้าใจหรือยังไงนะ ว่า สิ่งที่ทำให้มีอนาคตร่วมกันได้ ไม่ใช่อดีต แต่เป็นปัจจุบัน เป็นวันนี้ต่างหาก คิดมากกับสิ่งที่มันจบไปแล้ว ได้อะไรขึ้นมา นอกจากความกังวลใจ ยิ่งแต่งงานกันแล้ว ความเชื่อใจ ความเข้าใจควรจะเป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ไม่ใช่ฤา หรือฉันเข้าใจผิด??? จริงๆ จะว่าไปแล้ว ไอ้ที่อดเจือกกับเรื่องส่วนตัวชาวบ้านเขาไม่ได้นั้น


ส่วนหนึ่งคงจะมาจากสาเหตุของความเห็นแก่ตัวของผู้ชายบางส่วน เรื่องก็ไม่พ้นจากการที่ต้องรับฟังเรื่องชาวบ้านเขาอีกนั่นแหละฉัน เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันมากพอคูคนหนึ่ง เกิดท้องขึ้นมา ท้องแบบมีพ่อ แต่ยังไม่ได้แต่งงาน แถมพ่อของเด็กในท้องไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ที่สำคัญคือ การที่เธอตั้งท้องครั้งนี้ เธอไม่สามารถเก็บเด็กไว้ได้ ด้วยเหตุผลทางสังคมหลายๆ ประการ ถึงแม้ว่า พ่อของเด็กในท้องเธอจะอยู่ในฐานะที่สามารถดูแลตรงนี้ได้ก็ตาม บางทีสังคมก็ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้หญิงหลายๆ อย่างเหมือนกันนะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นของฉันในวันนี้ ที่ฉันไม่เข้าใจ และไม่พอใจ ถึงแม้จะอยู่ในฐานะคนนอก แต่ความที่สนิทกับเจ้าตัวมานานพอดู ทำให้ฉันไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วถึงจะไม่รู้จักกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย ฉันก็คงมีข้อกังขา และเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี


เธอพลาดตั้งท้องเพราะอะไร เพราะลืมกินยาคุม นั่นแหละ คำถามฉันจึงตามมา ทำไมต้องให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรับผิดชอบกับเรื่องการคุมกำเนิด ทำไมต้องให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเสียใจ ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวกับการกระทำแบบนี้ของฝ่ายชาย ในเมื่อตอนมีอะไรกัน มันเกิดจากความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย เป็นความพอใจของทั้งคู่ที่จะตกลงมีอะไรกันไม่ใช่หรือ แล้วทำไม ต้องเป็นผู้หญิงที่เป็นฝ่ายป้องกันเพียงฝ่ายเดียว ทำไมผู้ชายที่เป็นผู้ร่วมมือในกิจกรรมนั้นจึงไม่ยอมใช้วิธีการใดๆ ในการป้องกันเลย ซ้ำยังบอกว่า เพื่อความสนุกของตน ตกลงว่าฝ่ายหญิงเลยต้องหาวิธีป้องกันตัวเองอย่างนั้นรึ กรรมเลยตกแก่ฝ่ายหญิงไป ที่ดันไม่มีปากมีเสียง เป็นห่วง กังวลกับความรู้สึกของคู่ตนขนาดนั้น ฉันเลยบอกไงว่าไม่ชอบใจ ค่อนข้างจะขุ่นเคืองในกับพฤติกรรมของฝ่ายชายด้วยซ้ำไป ทำไมผู้ชายถึงเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสนุกความสุขส่วนตัวของตน จนผลักภาระให้กับผู้หญิงตัองมานั่งรับผิดชอบตัวเอง ถ้าหากเธอไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ต้องดูแลตัวเองนะ ฉันไม่เกี่ยวนะ แต่อีตอนทำ ละทำกันสองคน ไม่ยักกะบอกว่า ฉันไม่เกี่ยว ตลกดี ผู้ชายแบบนี้มีค่อนข้างจะเยอะบนโลกนี้ นับวันจะยิ่งมีเยอะขึ้นด้วยหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะ คนดีๆ ก็มี แต่เดี๋ยวเหมือนพวกเห็นแก่ตัวมีแต่จะมากขึ้น จะทำอย่างไรได้ล่ะ ผู้หญิงอยากรักแล้วก็ระวังตัวเองกันต่อไปแล้วกัน


เกิดเป็นผู้หญิงนี่มันลำบากจริงน้อ................

Monday, October 17, 2005

Friends Will be Lasting Long

เพื่อนสนิทกับความคิดถึง


วันนี้วันวันอาทิตย์ เลยถือโอกาสหยุดงาน หลังจากไม่ได้หยุดมาหนึ่งเดือนเต็มๆ เปล่า ไม่ใช่ว่าจะขยันทำงาน หรือโดนใช้แรงงานเป็นโรงงานนรกอะไรหรอก มันไม่รู้จะไปไหนมากกว่าน่ะ ชีวิตกินอยู่กับที่ทำงาน ตื่นมาก็ลงมาทำงาน เลิกงานก็ขึ้นห้อง มันวนๆ เวียนๆ อยู่แบบนี้ ถ้าไม่มีเหตุให้ต้องเข้ากรุง หรือไปต่างจังหวัด ก็เลยไม่ค่อยจะหยุด เพราะหยุดแล้วก็ไม่รู้จะไปไหน ทำอะไรสักเท่าไหร่ เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงไม่ค่อยจะหยุดงานสักเท่าไหร่ แต่พอดีวันนี้ อยากดูหนัง จริงๆ ตั้งใจจะไปดูหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ได้ยิน OST ของเรื่องนี้แล้ว ฟังแล้วมันจั๊กจี้ใจดีพิลึก "ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่....." บวกกับเสียงร้องของนักร้องเข้าด้วยแล้ว ต่อมความอยากดูหนังก็ยิ่งผลิตฮอร์โมนกระตุ้นความอยากทันที แต่จริงๆ แล้ววันนี้ใช่ว่าจะตั้งใจไปดูหนังเรื่องนี้เรื่องเดียว ยังมีอีกเรื่องที่ตั้งใจไปดู ก่อนที่มันจะออกจากโรงไปเสียก่อน พัทยานี่อะไรๆ ก็ดีนะ เสียแต่หนังเนี่ย ยืนโรงฉายน้อยมาก อีกเรื่องน่ะไปดูเรื่องผู้ชายขายตัว เอ้ย Deuce Biggalo ภาค 2 มา (พิมพ์ชื่อมันถูกไหมเนี่ย) ไปวันนี้ก็เกือบไม่ได้ดูเสียแล้ว เพราะมันมีรอบเหลืออยู่ 2 รอบ เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ไปดูหนัง เพราะอยากจะใช้ monthly passport ของ SF ให้มันคุ้ม อิอิ เพิ่งดูไปได้ 6 เรื่องเอง ใช้ๆ ให้คุ้มเสียหน่อย โปรโมชั่นแบบนี้อย๊าก อยากให้มีอีกสักปีละสามสี่รอบ คุ้มจริงๆ 390 ดูหนังทั้งเดือนนี่



ก่อนเข้าโรงหนังไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ดูหนังที่ทำให้คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ของตัวเองได้แบบนี้ ไม่ได้คิดว่าจะดูแล้วรู้สึกอะไรมากมายกับหนังเรื่องนี้ แต่ดูแล้วนึกถึงเรื่องตัวเอง แล้วก็นึกถึงสถานะในปัจจุบันของตัวเอง จะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไร ในเมื่อไอ้ตัวพระเอกนั่นมันท่าทาง ทรงผมมันคล้ายกะแฟนเก่าเดี๊ยะๆ - -" เฮ้ออ นี่แหละน้อ เขาบอกว่าคนเราใช้เวลาไม่นานกับการรู้สึกอะไร แต่ใช้เวลาทั้งชีวิตกับการลบเลือน จริงๆ ก็ไม่เคยที่จะลืมอะไร ก็แค่เลือนๆ ไปบ้างเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วเรื่องราวของเพื่อนสนิทแอบรักเพื่อน ไม่ใช่อย่างเดียวที่ทำให้อยากจะเขียนอะไรเพ้อๆ ยาวๆ แบบนี้หรอก (ถึงตอนที่เรียนที่มหาลัยภูธรจะเป็นแบบนั้นก็เหอะ) แต่เป็นเพราะจดหมายของพ่อไข่ย้อย(พระเอก) ที่เขียนถึงหญิงผู้เป็นที่รักในตอนท้ายนั่นต่างหาก เพราะมันตรงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในชีวิตจริงดีเหลือเกิน จำเนื้อความในจดหมายไม่ได้เท่าไหร่ แต่สาระตอนท้ายๆ อยู่ที่ว่า ดีใจที่อย่างน้อยคำว่าเพื่อนก็ยังคงอยู่ อย่างน้อยถึงไม่ได้รักกันก็ยังเป็นเพื่อนกัน ขณะที่ดูหนังไป ความคิดก็ย้อนกลับไปหลายปีก่อนที่เคยอยู่ในบรรยากาศคล้ายๆ กับในเรื่อง ชีวิตในมหาลัยต่างจังหวัด เพื่อนสนิท กับความรัก มันห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ที่จะคิดถึงอดีตที่ตัวเองเคยมีมา ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการเป็นเพื่อน จนกลายเป็นความรัก จากความรักกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองโชคยังดีที่ยังมีเขาในชีวิตในฐานะ "เพื่อนสนิท"


เพราะทุกวันนี้กับคนของอดีตก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอีกครั้ง ที่คราวนี้ไม่ต้องแอบรักกัน เพราะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่ความผูกพัน ความรักก็ยังมีอยู่ในใจ เป็นความรู้สึกที่จะไม่หายไปไหน ถึงแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถึงวันนี้คนของอดีตจะมีใครใหม่ คนของปัจจุบันเขาแล้วก็ตาม แต่ต่างคนก็ต่างรับรู้ ว่ายังมีกันและกัน ถึงไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้พบกัน แต่ความรู้สึกที่มันมีให้กัน ก็ยังเหมือนเดิม ดีใจจริงๆที่มิตรภาพไม่ได้หล่นหายไปพร้อมกับคำว่าเลิกรา ........... Friends will be lasting long



เดินออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึกอุ่นๆ ในหัวใจ พร้อมกับกรุ่นๆ เพราะความรำคาญพวกผีๆ ในโรงหนัง ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนคิด เข้าโรงหนังแล้วคุยโทรศัพท์ ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่มีทั้งผีตัวผู้และตัวเมีย พวกนี้นั่งหัวเราะกับสปอตโฆษณารณรงค์การปิดโทรศัพท์ในโรงหนัง แต่ดูเหมือนจะไม่สำเหนียกอะไรเล้ยยย สาธุ๊ ดูหนังรอบต่อไปอย่าได้เจอะได้เจอกับผีๆ เหล่านี้อีกเล้ยยยย

Monday, October 03, 2005

ซื่อสัตว์

เปล่า ไม่ได้เขียนผิด หัวข้อของบล็อกวันนี้ ตั้งใจเขียนแบบนี้จริงๆ


"หากซื่อสัตย์แล้วไม่ได้อะไรดี ก็ซื่อสัตว์เสียดีกว่า"


คำพูดนี้ ไม่ใช่ของฉัน หากแต่เป็นของเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่สนิทสนมกันมากพอสมควร พอจะเดาออกกันไหม ว่าเหตุใด คำพูดเช่นนี้จึงออกมาจากหญิงสาวคนหนึ่ง ถูกล่ะ ไม่พ้นจากเรื่องความรัก โชคร้ายในรักเพียงครั้ง ดูเหมือนว่าความรักและผู้ชายสำหรับเธอมันจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่มีเหลือดีอยู่สักเท่าไหร่ ความคิดเธอดูเหมือนจะกลายเป็นว่า รักดีๆ ไม่มีอีกแล้ว ....


คืนนี้มีโอกาสทำตัวเป็นฟองน้ำ ซึมซับ รับปรับทุกข์กับเธอผ่านโปรแกรมสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ยอดฮิตที่นิยมใชักันอยู่ทั่วโลกในขณะนี้นั่นแหละ จะว่าไปแล้วฉันกับเธอก็คุยกันออกจะบ่อย เกือบจะทุกวันเห็นจะได้ แต่จะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่คืนนี้.. มีอะไรต่างกันออกไป เธอทักมา พร้อมประโยคที่ว่า "ขอฉันปรึกษาอะไรหน่อยจะได้ไหม"

จากนั้นบทสนทนา ก็เป็นไปตามครรลองของฉันกับเธอ คือ ฉันเป็นฝ่ายรับฟัง และเธอเป็นฝ่ายระบาย จริงๆ ไม่ใช่การปรึกษาหรอก แต่เป็นการรับฟัง อยู่เป็นเพื่อนกัน ในยามที่เธอต้องการใครสักคนที่เธอพอจะพูดคุยในเรื่องบางเรื่องได้


เพื่อนฉันคนนี้ จะว่าไปแล้ว เธอค่อนข้างจะโชคร้ายกับเรื่องรัก เพราะคนที่อาจจะเรียกได้ว่าคนรักของเธอในปัจจุบันนั้น เป็นสามีของคนอื่น เข้าใจกันไม่ผิดหรอก เพื่อนฉันคนนี้ มีตำแหน่งเป็นเมียน้อยไม่ได้รับเชิญของสามีชาวบ้าน ทั้งๆ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากจะเป็นเลยสักนิด ตำแหน่งที่เธอไม่เคยต้องการ ตำแหน่งที่เธอได้มาโดยจำใจ ด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตำแหน่งที่ได้มาเพราะการโดนหลอก อายุไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการที่จะวัดได้ว่า คนเราจะโดนหลอกได้หรือไม่ ตราบใดที่ตัวแปรสำคัญคือ ความรัก ตราบใดที่คนเรายังโหยหาความรัก อยากได้ใครสักคนมาเป็นของตน อยากได้ใครสักคนจะมาอยู่ข้างกาย เติมเต็มส่วนที่ตนต้องการ ดังนั้นไม่ว่าอายุจะสักเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะโดนหลอก หากคนๆ นั้นต้องการความรักที่ตัวเองไม่เคยได้ครอบครองมากจนลืมนึกถึงตัวเองก่อนเป็นลำดับแรก

ไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอกกับการจะมีตำแหน่งเมียน้อย แต่เธอเดินไปแล้ว ก้าวไปแล้ว ถึงแม้ตอนนี้อะไรๆ จะยังคลุมเครือ ไม่รู้ว่าเธอยังคงดำรงตำแหน่งนั้นอยู่ไหม กระทั่งตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ เพราะคนที่จะตอบเธอได้นั้นก็คือคนที่อยู่ไกล คนที่ได้ชื่อว่า คนรักของเธอนั่นต่างหาก แต่กระนั้นเอง ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป หากยังไม่สิ้นก็คงต้องดิ้นกันไป อย่างที่เขาว่าไว้ แต่เพื่อนของฉันคนนี้เธอไม่เหมือนเดิม ความคิดเธอ ทัศนคติที่มีต่อโลก และผู้ชายของเธอ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งกับตัวเธอเอง เธอมองว่าตัวเธอไม่ดี ไม่มีค่า กลายเป็นคนมีมลทิน เป็นสินค้ามีตำหนิ คงไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้เธอโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ผู้ชายที่เธอพบเห็นในสังคม โดนเธอมอง และตีความเอาว่า ไม่มีผู้ชายที่ไหนที่จะไม่ต้องการอะไรตอบแทนจากผู้หญิง เธอมองไปแล้วว่าไม่มีสิ่งไหนที่ผู้ชายให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน เธอกลับมองโลกแบบนั้นไปเสียแล้ว

พอคุยกับเพื่อนคนนี้แล้ว รู้สึกสะทกสะท้อนใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก นึกได้แต่ว่า ทำไมหนอถึงมองโลกในแง่ร้ายอะไรได้เพียงนี้ แค่ผู้ชายคนเดียว กลับทำเธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ อาจจะเพราะเธอตั้งความหวังในตัวเขาไว้มากเกินไป ถึงยอมมอบกาย มอบใจ อย่างที่ไม่เคยมอบให้ใครมาก่อน แต่สิ่งที่เธอได้รับตอบแทนมันดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่เธอหวัง สิ่งที่ตอบแทนเธอมา บางครั้งมีแต่น้ำตา และความอับอาย

จากบทสนทนา มีผู้ชายมาติดพันเธออีกหนึ่งราย แต่รายนี้ก็หาใช่คนตัวเปล่าไม่ พอเธอเล่าให้ฉันฟัง ฉันก็ได้แต่รำพึงในใจ อีกแล้วหรือนี่ จะเป็นเพราะอะไร ชะตา หรือดวงของเธอที่ดึงให้เธอมาอยู่บนเส้นทางสายนี้ ฉันก็ไม่รู้ได้ แต่เธอก็บอกกับฉันว่า เธอไม่ได้ต้องการอะไร แค่อยากให้เขาทะเลาะกับภรรยา เพราะเขาบอกกับเธอเสมอว่า รักแฟนมาก ห่วงแฟนมาก จนให้นึกสงสัยว่า คนรักกันเขาทำกันแบบนี้หรืออย่างไร เธอบอกกับฉันต่อไปว่าเธอยังไม่เคยพบปะหรือเจอหน้า แต่ฝ่ายชายนั้นเพียรโทรหาเกือบจะทุกวัน แล้วยัง online คุยกับเธอทุกวัน เป็นกิจวัตร เธอเล่าต่อไปว่า เมื่อเธอซื่อสัตย์กับคนที่เธอเรียกว่าสามี แล้วไม่ได้ดี เธอก็คงจะเลิกทำ เธอเฝ้าอยู่ในโอวาท คำน้อยก็ไม่มีปริปากบ่น เพราะเธอรู้ตัวว่าอยู่ในสถานะใด แต่สิ่งที่ตอบแทนเธอ ก็อย่างที่ฉันว่า น้ำตาและความเสียใจ


จริงแล้วฉันอยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่า คนดีๆ หรือความจริงใจมันยังมีเหลืออยู่ในโลกนี้ ฉันไม่ใคร่จะสบายใจเท่าไหร่นัก กับการที่ได้รับรู้ว่ามุมมองที่เธอมีต่อผู้ชายมันติดลบลงไปทุกวันแบบนี้ เธอบอกฉันเสมอ ว่าไม่มีผู้ชายคนไหน ทำอะไรให้ผู้หญิงโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และสิ่งที่ผู้ชายมักจะหวังจากผู้หญิงก็ไม่พ้นร่างกาย แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนฉันคนนี้จะไม่คิดอย่างนั้น ดูเธอจะปักใจไปเสียแล้วว่า ผู้ชายก็มีแต่ต้องการของตอบแทนเป็นเรือนกายของผู้หญิง ฉันไม่อยากจะให้เธอมีความคิดอะไรแบบนั้นเลย แต่จนปัญญาไม่รู้จะหาทางไหนช่วยให้เธอมองโลกด้วยความคิดที่ดีขึ้นได้บ้าง ตอนนี้เหมือนโลกเธอเป็นสีดำ อยากให้เธอไว้ใจใครๆ เหมือนอย่างที่เธอเคยเป็น ไม่ใช่มองผู้ชายไม่ต่างอะไรกับสัตว์เพศผู้ที่ต้องการเพียงที่เปลื้องอารมณ์ความใคร่เท่านั้น

ไม่อยากได้ยินคำว่า ซื่ออย่างสัตว์จากเธออีกแล้วจริงๆ ............

Wednesday, July 13, 2005

คนบาปในเมืองบาป

รังเกียจ หรืออคติ ความรู้สึกนี้ เกิดขึ้นกับฉันเมื่อสักเดี๋ยวนี่เอง เป็นความรู้สึกที่นับตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจะรู้สึกอะไรทำนองนี้บ่อยนัก จริงๆ เริ่มๆ รู้สึกมาสักพักแล้ว กับคนๆ หนึ่ง วันนี้ฉันคงจะเขียนเรื่องรวมๆ จับฉ่ายของเมืองบาปแห่งนี้อีกสักหน่อย รวมถึงเรื่องราวของคนที่ฉันรู้สึกว่า "รังเกียจ หรือจะอคติ" ก็ไม่ทราบได้ กับพฤติกรรมของเธอคนนี้

ย้อนไปสักหน่อย จะเห็นได้ว่า ฉันเขียนเรื่องเมืองบาปนี้มาสองสามตอนได้แล้ว และล่าสุดที่เพิ่งจะเขียนไป คือเรื่อง ของสาวน้อยคนหนึ่ง ในหัวข้อ "ฉันมาเปิดซิงที่นี่" จริงๆ สะสมเรื่องราวของหนูคนนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่คิดจะเขียน วันนี้เลยขอลัดคิวเขียนเรื่องของคนอื่น ที่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเขียนสักเท่าไหร่ กระทั่งได้รับโทรศัพท์จากลูกค้ารายนี้เมื่อสักสิบนาทีที่ผ่านมานั่นแหละ

ถ้าใครเคยอ่านเรื่องราวของบล็อกฉันที่ผ่านๆ มาเกี่ยวกับพัทยาแล้วละก็ จะเห็นได้ว่าฉันเคยเขียนเรื่องสาเหตุของการมาอยู่เป็นคนบาปในเมืองบาปแห่งนี้ไปบ้างแล้ว สำหรับสาวๆ บาร์ทั้งหลาย ซึ่งจะนับๆ กับไป สาวๆ เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นแหล่งรายได้อย่างดีของฉันทีเดียว ในเมื่อเธอเหล่านั้นเป็นลูกค้า ฉันก็ควรจะวางตัว วางความรู้สึกให้ไม่ต้องไปคิดอะไรมากมายกับวิถีทาง หรือเส้นทางชีวิตของเธอๆ แต่บางทีฉันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน บางเรื่องเมื่อเราผ่านหู ผ่านตามากๆ เข้า จากที่คิดว่าไม่ควรจะรู้สึก มันก็ซึมเข้าไปเองได้เหมือนกัน อย่างเรื่องราวของเธอคนนี้ สาวชาวใต้ ผู้ซึ่งผิวไม่คล้ำคมเหมือนคนใต้ หากแต่หน้าตา และการแต่งแต้มที่ทำให้เธอดูสวย โดดเด่นจากบรรดาสาวๆ ที่อยู่แถวนี้มากโข รวมถึงฐานะที่เธอมี
เธอคนนี้ต่างจากผู้หญิงแถวนี้ทั้งท่าทาง ทั้งฐานะ ทั้งเหตุผลของการมาอยู่ที่นี่ แต่พฤติกรรม และการวางตัวของเธอกลับดูไม่ได้แตกต่าง ซ้ำยังแลดูน่ารังเกียจ และเลวร้ายยิ่งกว่าคนที่ด้อยกว่าเธอทุกๆ ด้านเต็มที ......

ฉันเองก็ย้ำเป็นรอบที่พันห้าร้อยสี่สิบสี่ครั้งแล้วกระมัง ว่าฉันไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ฉันคิดว่าตัวฉันนั้นดีในระดับหนึ่ง ปกติฉันไม่ใช่คนจะมาตั้งแง่รังเกียจรังงอนอะไรใครเขาได้ง่ายๆ ยิ่งการดูถูกคนฉันยิ่งไม่ใคร่จะทำ กับลูกค้าสาวสวยของฉันคนนี้ กลับทำให้ฉันเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ไม่ยากเลยสักนิด ใช่ว่าเธอจะทำตัวต่ำ หยาบคายกับฉัน เปล่าเลย เธอไม่เคยทำ มีแต่จะหยิบยื่นไมตรีให้เสมอมา พยายามเต็มที่ที่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็น "เพื่อน" กับเธอ เหมือนกับที่ฉันยอมเป็น "เพื่อน" กับเพื่อนของเธอคนนี้อีกคน แต่คนเรามันต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันจริงๆ ยิ่งความต้องการพื้นฐาน หรือตัณหาของแต่ละคนนั้น ไม่มีวันจะเหมือนกันได้เลย


ฉันไม่เคยจะเข้าใจว่า ทำไม และไม่เข้าใจถึงความโลภ หรือความมักมากที่มีไม่สิ้นสุดกันแน่ กิเลศ หรือตัณหาที่มันนำพาชีวิตคนๆ หนึ่งก้าวมาไกลได้ขนาดนี้ หรือเพราะทั้งสองอย่างที่ผลักดันให้ "เธอ" มาสู่จุดๆ นี้ ปกติสาวๆ หรือผู้หญิงบริการแถวนี้ เขามักจะมีสาเหตุของการมาอยู่ที่นี่ มาขายตัว มาแลกเงินกับเรือนร่างของเธอด้วยสาเหตุหลักคือ ความขัดสนทางด้านการเงิน หรือสุดแล้วที่จะหาทางแก้ ทางสุดท้ายที่พวกเธอเลือกมา คือการต้องมาเป็นผู้หญิงบาร์ หรืออีกนัยหนึ่งคือมาขายบริการทางเพศที่พัทยานี่เอง

เงิน เหตุผลพื้นๆ ที่ใครๆ ก็เข้าใจ แต่กับเธอคนนี้ฉันไม่เคยจะเข้าใจเลยแม้สักครั้ง ปกติเมื่อผู้หญิงที่บ่ายหน้ามาพัทยา นอกจากจะเพื่อเงินแล้ว ก็ยังจะมีอีกหนึ่งเหตุผล คือ การมุ่งจะหาสามีชาวต่างชาติ เพื่อจะได้ยกระดับชีวิตตัวเองให้ดี มีฐานะขึ้น เพื่อจะหลุดพ้นจากความยากจน หรือหนี้สินประดามีทั้งหลาย แล้วไอ้การจะมีสามีเป็นตัวเป็นตน เป็นคนดีพอที่จะรับผิดชอบชีวิตได้เนี่ย ก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ บางคนมาแป๊บๆ ออกแขกไม่กี่ราย ก็ได้คนรับเลี้ยงแล้ว แต่หากบางคนแบจนเหนียงจะยาน ก็ยังไม่มีคนเอา อันนั้นก็มีให้เห็นหลายราย ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่ เมื่อมีใครเป็นตัวเป็นตนแล้ว บรรดากิ๊กหรือเบี้ยบ้ายรายทาง ดอกไม้ริมทางของพวกเจ้าหล่อน ก็จะโดนสลัดไป ยิ่งเมื่อใครถึงขั้นแต่งงาน แต่งการ จดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว อันนี้ก็ยิ่งจะเป็นการเพิ่มหลักประกันในชีวิตให้กับพวกเธอทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมักไม่มีใครยอมเสี่ยงกับการจะปล่อยหลักชีวิตของตนด้วยการทำตัวไม่ดี เรื่องนี้ฉันก็นับถือบรรดาเธอๆ เหล่านี้ไม่ได้ อย่างน้อยความซื่อสัตย์ก็ยังมีในหัวใจ คนเรานะ หากไม่มีการซื่อสัตย์ มันก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดียรัจฉานที่ตนเองดูแคลนเท่าไหร่นักหรอก (ความเห็นส่วนตัว ใครไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจ ปิดได้เลยจ๊ะ)

เหมือนกันกับสาวเจ้ารายนี้ ดูท่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ละมังที่ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกดูถูก เกิดความรังเกียจขึ้นมา ไม่อยากให้บริการเธอ แม้จะเป็นลูกค้าที่เงินหนักก็ตามที เธอคนนี้ ฐานะไม่ใช่ด้อย เพราะเป็นถึงเจ้าของกิจการบาร์ใหญ่โตริมหาดแห่งหนึ่ง มีสาวๆ ในสังกัดมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว เธออายุมากกว่าฉันไม่เท่าไหร่ แต่ท่าทีประหนึ่งนางแมงมุมทาลันทูร่า (สะกดถูกไหมเนี่ยฉัน) เธอมักจะพึงพอใจกับเด็กหนุ่มหน้าตาดี รุ่นเดียวกันหรือมากกว่าเธอมักจะไม่แล จริงๆ จะว่าไปแล้ว ฐานะอย่างเธอไม่จำเป็นต้องไปกับแขก แต่จะว่าอย่างไรได้ ในเมื่อความต้องการมันเรียกร้อง เธอจึงมักมีลูกค้าหนุ่มๆ อยู่ในสต็อกของเธอเสมอ คนแล้วคนเล่า หลายคนทำท่าจะจริงจังด้วยการขอแต่งงานกับเธอ แต่เธอดูเหมือนจะไม่หยุด ไม่พอ ประหนึ่งว่า ชีวิตนี้ของใช้ให้คุ้มค่า ขอเพียงไม่เป็นเอดส์ตายเสียก่อน ก็พอแล้ว

วันหนึ่ง เธอสร้างความประหลาดในให้กับใครๆ ด้วยการประกาศแต่งงานกับหนุ่มอังกฤษหน้าตาดีคนหนึ่ง กระทั่งฉันเองยังไม่คิดว่าเธอจะหยุดเรื่องกิจกรรมของเธอลงได้ แต่เธอทำไปแล้ว ฉันก็ถือว่าเป็นโชคดีของเธอละนะ ที่เจอคนจริงใจรักใคร และเธอเองก็พร้อมจะหยุดรักที่เขาด้วยเหมือนกัน แต่หลังการแต่งงานของเธอเพียงไม่กี่วัน เธอได้มาหาฉันพร้อมกับแจ้งความจำนงให้ส่งข้อความหาหนุ่มอเมริกันที่เธอรักจับจิตคนนั้น .....

วันนั้นฉันมองหน้าเธอ พร้อมบอกว่า "นึกว่าพี่บอกเลิกเขาไปแล้วเสียอีก" คำตอบที่เธอให้ฉันกลับทำให้ฉันสะอึก พร้อมความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมาทันที เธอบอกกับฉันว่า พี่ยังรักเขา และยังอยากได้เงินจากเขาอีกสักก้อน ....

นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเจอผู้หญิงที่ไม่ซื่อสัตย์กับสามีในลักษณะนี้ ไม่ใช่สามีที่แต่งกันมานานนับสิบปีจนเหม็นเบื่อกันด้วยซ้ำ แต่เป็นคนที่เพิ่งจะควงแขนเลี้ยงแต่งงานกันได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง เธอไม่ยอมไปอยู่ที่อังกฤษกับสามี ด้วยให้เหตุผลว่ายังเป็นห่วงกิจการร้านค้าที่เมืองไทย แต่สาเหตุจริงๆ ของเธอนั้นคือเรื่องชายอื่น หากเป็นเมื่อก่อนที่เธอยังไม่แต่งงาน ยังไม่จดทะเบียนกับใครเป็นตัวตน ฉันคงไม่มีเหตุผล ไม่มีความรู้สึกอะไรทำนองนี้กับเธอเท่าไหร่ อาจจะมีนึกค่อนในใจเรื่องการใช้ผู้ชายหลายคนของเธอก็เท่านั้น จะว่าฉันเป็นคนหัวบุราณอะไรก็ตามที แต่ผู้หญิงบาร์คนอื่นๆ ที่เขามีน้อยกว่าเธอยังดูดีกว่าเธอในแง่นี้เสียอีก

เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อๆ มา ล่าสุด ฉันทราบว่าเธอนัดกับทหารเรืออเมริกันคนนั้นที่ฮ่องกง ขณะที่ปล่อยให้สามีที่ถูกต้องตามกฏหมายของเธออยู่ที่อังกฤษตามลำพัง ฉันอึ้งแล้วอึ้งอีก พร้อมฉงนใจก็หลายที ทำไมคนเราความพอจึงไม่ปรากฏ ทำไม และทำไม แต่สุดท้าย อย่างฉันก็ทำได้แค่รู้สึกสมเพช แกมรังเกียจ กับคนประเภทนี้เท่านั้นเอง เพราะอย่างไรก็ดีเสีย มันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันที่ต้องยื่นจมูกไปสอด แค่รู้สึกเท่านั้นเอง

อย่างหนึ่งที่ฉันเชื่อ คือ คนเรามักจะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งที่ตนทำ กรรมเป็นผลของการกระทำ กรรมดี หรือเลว มันมักจะกลับสู่หาคนๆ นั้น แต่จะช้าจะเร็วก็เท่านั้น


แต่มานึกๆ ดูอีกทีแล้ว คนแบบเธอก็ช่างเหมาะกับเมืองนี้จริงๆ........

Monday, June 13, 2005

+ + + หนูมาเปิดซิงที่นี่ !!! + + +

วันนี้วันอาทิตย์ คงเป็นวันครอบครัวสำหรับใครหลายๆ คน เป็นวันพักผ่อนสำหรับคนทำงานทั่วๆ ไป แต่สำหรับสาวๆ แถวนี้แล้ว กลับดูเหมือนพวกเธอจะไม่มีวันหยุดสักเท่าไหร่ จะว่าไป ฉันเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่หยุดเหมือนกัน แต่ภาพที่เห็นมันกลับต่างกันนะ สาวๆ แถวนี้เวลาทำงาน เหมือนไม่เหนื่อย เหมือนไม่หนัก วันๆ นั่งแต่งตัวสวย คอยเรียก คอยเชื้อเชิญหนุ่มใหญ่น้อย หัวหงอกหัวทอง บ้างก็เดินจูงมือ กอดจูบกันไปตามถนน จนเป็นภาพที่ชินตาสำหรับฉันไปแล้ว ส่วนฉันเองก็งานใช่ว่าจะหนัก วันๆ นั่งอยู่หน้าเครื่องคอม คอยให้บริการสาวๆ เหล่านี้อีกทอด


แต่วันนี้ เป็นวันทำงานที่ฉันรู้สึกว่ามันแตกต่างไปจากทุกๆ วัน เพราะสาวน้อยคนหนึ่งแท้ๆ เทียว หลังจากได้คุยกับเธออยู่ร่วมชั่วโมงหนึ่ง ฉันรู้สึกสลด รู้สึกหดหู่ใจ กับชีวิตของเด็กสาวตัวเล็กๆ (จริงๆ ไม่เล็กนะ อวบพอประมาณ คล้ำ คม) คนหนึ่งเหลือเกิน เธอจับพลัดจับผลูมาที่ร้านฉันโดยบังเอิญ ฉันบริการให้กับเธอไปตามหน้าที่ พร้อมนึกในใจ หน้าตาหนูแกยังดูเด็กเหลือเกิน ท่าทีดูซื่อ ไม่มีจริตมารยาเหมือนไก่แก่แม่ปลาช่อนแถวนี้ทั้งหลาย เพราะจากน้ำคำเวลาพูดถึงชายคนรักของหนูแก มันบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง น้ำเสียง แววตา ที่บอกได้ชัดเจน ว่าชีวิตของยายหนูคนนี้มันมีอะไรมากมาย


แรกทีเดียว ฉันเห็นแก ฉันก็คิดว่าคงเป็นแค่ "ลูกค้า" อีกรายที่มา แล้วก็คงจะไม่มีอะไรให้น่าสนใจ และไม่น่าจะญาติดีด้วยสักเท่าไหร่ เรื่องนี้ถ้าใครยังจำเรื่องราวของ "เมืองบาป" ที่ฉันเคยเขียนไปเมื่อปีที่แล้วได้ คงจะพอเข้าใจคร่าวๆ เมื่อหนูแกจ่ายตังเสร็จสรรพ แต่เธอยังไม่ยอมไป พร้อมเอ่ยขึ้นมาแบบเกรงใจว่า



"พี่คะ หนูขอนั่งอยู่ก่อนได้ไหม หนูไม่รู้จะไปไหน"


อึ้ง !! คือ คำๆ เดียวที่จะพอจะบอกความรู้สึกฉันในขณะนั้นได้ชัดเจนที่สุด เพราะปกติแล้วลูกค้าฉันมักจะไม่ค่อยโอ้เอ้เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เธอๆ เหล่านั้นแทบไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวมากนัก เว้นแต่ใครที่เธอจะมีคนรับเลี้ยง หรือมีสามีเป็นตัวตนจึงจะมีเวลานั่งคุยหรือเมาท์ หรือจะโม้กับฉันได้นานๆ จริงๆ แล้วฉันก็สังเกตมาตั้งแต่ตอนที่แกเล่าถึงแฟน พร้อมกับย้ำเป็นระยะๆ ว่า "พี่ พี่ว่าเขาคงรักหนูจริงใช่ไหม" "พี่คะ ถ้าเขาไม่รักหนู เขาคงไม่ส่งเงินให้หนูหรอกใช่ไหม"
ตอบรับให้หนูแกนั่งอยู่ข้างๆ ฉันต่อไป พร้อมกับคำต่างๆ เริ่มพรั่งพรูออกจากปากหนูแกเอง โดยที่ฉันไม่ต้องร้องขออะไรมากนัก เหมือนเขื่อนที่ทำนบเตรียมจะพังทลาย เหมือนน้ำที่ล้นออกจากฝาย เหมือนลูกโป่งที่พร้อมจะปริแตกออกมาได้ทุกขณะ หนูคนนี้ ก็เป็นเหมือนอย่างนั้น อาจจะเพราะฉันคุยกับหนูแกด้วยท่าทีเป็นกันเอง หรืออย่างไรฉันก็ไม่ทราบได้ แต่ฉันไม่คิดเหมือนกันว่า แค่ลูกค้าคนหนึ่ง หนึ่งในสาวๆ แถบนี้ จะมาทำให้ฉันรู้สึกสะทกสะท้อนใจได้ถึงเพียงนี้ นับจากเด็กคนหนึ่งที่ฉันเคยเจอเมื่อนานแล้ว ต่างกันที่วัยของเด็กสองคนเท่านั้นเอง เพราะเด็กคนที่ฉันเจอเมื่อนานมาแล้วนั้น เธอมาหากินที่พัทยาด้วยวัยเพียง 12 ขวบ !! แต่หนูคนนี้ 19 แล้ว


เมื่อเห็นหนูแกทำท่าเหมือนอยากระบาย ฉันเลยเอ่ยปากถามไปว่า
"หนูนึกอย่างไรถึงมาอยู่พัทยา แม่รู้เข้าจะคิดว่าไงละนั่น" หนูแกนิ่งไปเล็กน้อย พร้อมบอกว่า "พี่ชีวิตหนูมันอนาถ บ้านหนูจน จนมาก หนูเห็นสภาพแม่หนูถูกพ่อทำร้ายติดตามาตั้งแต่หนูเจ็ดขวบ พี่รู้ไหม บ้านหนูน่ะ บ้านนอกน่ะ บ้านสองชั้น เตายังต้องใช้หินสามก้อนเรียงกัน มาทำเป็นเตาไฟเพื่อหุงข้าว พ่อหนูเตะแม่หนูตกจากบ้านมาชนกับเตานั้น แม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลายเดือน จนทุกวันนี้แม่หนูต้องใส่กระดูกเทียม พี่รู้ไหม หนูต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่จบ ป.6 หนูมาทำงานหาเลี้ยงแม่และน้อง"

ประโยคแรกของหนูแก ไหลออกมาเหมือนน้ำ เหมือนแกหาใครสักคนที่จะพอรับฟังแกได้ ดีที่วันนี้ฉันว่าง ด้วยความที่ตอนนี้มันเป็น low season ซึ่งมันน้อย น้อยจริงๆ สำหรับลูกค้าในแต่ละวัน ฉันจึงมีเวลาเสวนากับหนูแกได้เต็มที่ ปรับตัวเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟัง และถามบ้างเล็กน้อย ฉันคุยกับหนูแกสักประมาณชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้ ยิ่งพอได้พูด ได้คุย ได้รับรู้แล้วก็ยิ่งรู้สึกสลดใจ กับชีวิตที่แตกต่างกันขึ้นทุกที
เรื่องราวต่อมา ที่ได้รับฟัง และค่อยๆ ซึมซับเข้าในความคิด ขออนุญาตสรุปคำจากปากหนูแกแล้วกัน เพราะฉันไม่ใช่คนความจำดีมากมายขนาดจะจำได้ทุกถ้อย ทุกคำ ของหนูแก มาลองดูกันไหม ว่า ชีวิตอีกชีวิตหนึ่งในประเทศแห่งความเท่าเทียมอย่างสารขัณฑ์นี้มันแตกต่างกับเราๆ กันแค่ไหน

"ตั้งแต่หนูอายุ 7 ขวบแล้วพี่ ยังตัวเปี๊ยกอยู่เลย หนูอยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านนอกที่ศรีสะเกษ มีพ่อ มีแม่ และมีน้องชายคนหนึ่ง ตอนนี้น้องชายหนูอายุ 11 ขวบแล้ว หนูยังจำได้ติดตา ตอนที่หนูเจ็ดขวบ พ่อตกแม่หนูตกจากบนบ้าน หนูร้องไห้ กลัวแม่จะตาย หนูวิ่งไปตามญาติให้มาช่วยพาแม่ไปส่งโรงพยาบาล แม่ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน แม่ต้องกลายเป็นคนพิการ ต้องใส่กระดูกเทียมตั้งแต่ตรงนี้นะ (หนูแกชี้มือไปที่สะโพกลงมาจนถึงโคนขา) ถึงตรงนี้น่ะพี่ หนูสงสารแม่มาก พ่อหนูเหรอ เลิกกันนับตั้งแต่บัดนั้น (เมื่อถามถึงพ่อ) หนูต้องมีหนี้ 3 หมื่นบาท ซึ่งมันเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาลสำหรับหนูในตอนนั้น หนูไปขอยืมเงินน้า น้องสาวแม่ ให้เขาจ่ายค่าโรงพยาบาลให้แม่ หนูกราบน้า แล้วบอกว่า น้าจ๋า ใจเย็นๆ นะจ๊ะ รอหนูหน่อย เดี๋ยวหนูเรียนจบจะหางานทำ ใช้หนี้ให้น้า"
ยังดีที่น้าแกยังมีเมตตาอยู่บ้าง ชีวิตแกเริ่มต้นลำบากมานับแต่นั้น เพราะคนเป็นพ่อก็ทิ้งไป พออายุได้ 12 ขวบ แกจบป. 6 แกก็จากบ้าน ตรงเข้ากรุงเทพฯ หวังว่าจะหางานทำ ไม่นับว่าเสียเปล่า หนูแกได้งานทำ ค่าจ้างวันละ 50 บาท ทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงหนึ่งทุ่มของทุกวัน แกเล่าให้ฟังพร้อมน้ำตาที่คลอๆ บอก "พี่รู้ไหม เงินแค่นั้น หนูก็พยายามเก็บเงิน สามปีแรกหนูทำงานได้วันละ 50 บาท ต่อมา หนูเปลี่ยนงานทำใหม่ ได้เดือนละ 4 พัน แล้วก็เป็น 5 พัน หนูดีใจมาก เก็บเงินส่งให้แม่ จนหนูใช้หนี้สามหมื่นนั้นได้หมด หนูดีใจมาก หนูลำบากมาสารพัด แต่หนูดีใจที่แม่ไม่ต้องเป็นหนี้"


"หนูมาอยู่พัทยา เพราะมีคนชวน หนูรู้สิ ว่ามันเป็นงานแบบไหน (เมื่อโดนถามว่าไม่รู้หรือว่าผู้หญิงที่พัทยาส่วนใหญ่ทำงานอะไร) แต่มีคนที่อยู่แถวบ้านเขาเคยมีลูกมีผัว แล้วโดนทิ้ง มาทำก่อนแล้ว แกโทรมาหาหนู บอกว่ามาทำงานกับพี่มา คนแถวบ้านหนูเขาก็ยุ อืม เขาคงรู้แหละพี่ว่างานอะไร (เมื่อฉันถามว่า แล้วเขาไม่รู้เหรอถึงยุหนูมา) หนูก็เสี่ยงมา เพราะอยากได้เงิน อยากให้แม่สบาย พี่รู้ไหม หนูไม่เคยมีแฟน หนูกลัว หนูไม่เคยยุ่งกับใคร หนูมาเปิดซิงที่นี่!!! "

O_o''

หนูแกเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง เหมือนแกจะกลัวไปกับทุกอย่างในชีวิต จากการที่แกคอยถามย้ำ คอยถามเหมือนเพื่อย้ำให้แกมั่นใจว่าสิ่งที่แกคิดนั้นมันถูกต้อง หรือมันดีแล้ว อยู่ตลอดเวลา เสียง "มันดีใช่ไหมพี่ เขารักหนูใช่ไหมพี่ เงินดีใช่ไหมพี่ มันเยอะใช่ไหมพี่" ดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ที่คุยกับฉัน กระทั่งเรื่องที่แกมาทำงานในฐานะ "ผู้หญิงขายตัว" ที่นี่ก็ตาม

"ตอนแรกที่หนูมานะพี่ หนูกลัว หนูไม่กล้าเข้าแขก หนูนั่งขดอยู่ในบาร์ หนูอายคน หนูไม่เคยทำ เกิดมาไม่เคยมีแฟน ไม่เคยแต่งตัวแบบนี้ หนูก็ต้องมาทำ วันแรกๆ หนูนั่งนิ่ง ไม่ยอมเข้าหาใคร ป๋า (มาม่าซังซึ่งเป็นทอม) คอยมาบอกหนูว่า "เจ้าเอ ทำไมไม่ยอมเข้าหาแขก" จนวันหนึ่ง วันที่หนูต้องยอมไปกับแขกคนแรก ผู้ชายคนแรกในชีวิตหนู หนูกลัวพี่ กลัวมากๆ ป๋าไปบอกแขกคนอังกฤษคนนั้นว่า ต้องจ่ายแพงหน่อยนะ เพราะหนูยังไม่เคย หนูเพิ่งมา หนูเลยได้ค่าตัววันละ 5 พันบาท หนูได้เยอะใช่ไหมพี่ คืนแรกหนูกลัวไปหมด ร้องไห้ เลือดเต็มเลยพี่ แต่แปลกที่หนูไม่รู้สึกอะไร ไม่เหมือนแฟนหนู (คนที่แกคิดว่าแกรักในตอนนี้) หนูอยู่กับเขาอาทิตย์หนึ่ง หนูได้เงินมาสามหมื่นห้า เงินมันเยอะมากเลยนะพี่ หลังจากนั้นมาหนูก็เริ่มชิน พอหนูอยู่ที่นี่ได้สัก 15 วัน หนูก็เจอเขา (เธอตอบหลังจากที่ฉันถามว่า เจอแฟนได้ไง) แฟนหนูเป็นคนอเมริกันพี่ เขาเป็นคนน่ารักนะ ใจดี ดูสิเดือนหนึ่งได้เงินเดือนไม่เท่าไหร่ จะส่งมาให้หนู


วันนั้น ที่บาร์ห้ามขายเหล้า พวกหนูไม่ต้องมาทำงาน แต่หนูก็ไปที่ร้าน เพราะหนูไม่รู้จะทำอะไรที่ห้อง หนูนั่งอยู่ แล้วก็มีกลุ่มคนไอ้กัน (ขอเรียกตามที่แกใช้เรียก) เพื่อนๆ หนู ก็เลือกเอาคนหล่อๆ ไปหมด แต่แฟนหนูก็ใช่ว่าจะไม่หล่อนะ เขาน่ารักออก (แววตาหนูแกมันบอกความรู้สึกได้ดีจริงๆ นี่ใช่ไหมที่เขาบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ) ตอนแรกนะพี่หนูก็นั่งเฉยๆ แต่พอหันมาสบตากับเขา หนูอึ้งไปเลย (หนูแกทำท่าประกอบแบบตาค้าง ตะลึง ตึ่งๆ แนวนั้นแหละ) หนูบอกไม่ถูก แต่หนูรู้สึกวาบขึ้นมาหมดเลย หนูไม่รู้น่ะพี่ ก็หนูไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความรักนี่ กับคนที่หนูนอนด้วยเป็นคนแรกหนูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้ หนูนั่งคุยกับเขา หนูเขิน เขาถามอะไรหนูก็ก้มหน้า แล้วก็บิดไปมา (แกบิดให้ฉันดูจริงๆ ว่าแกบิดตัว บิดแขนอย่างไร - -") ทีนี้ เขากับเพื่อนๆ ก็ออกไปทานข้าวเย็นกัน แล้วก่อนเขาไป เขาก็สั่งหนูไว้ว่า "อยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะกลับมาหา" หนูก็ยังนึกในใจเลยนะพี่ ว่าจะอะไรกับหนูกันนะ จะมาเจอหนูทำไม แล้วหนูก็ออกไป 7-11 ก่อนจะไปหนูก็บอกกับ "ป๋า" ว่า ถ้าเขามาบอกว่าให้รอเดี๋ยวนะ หนูไปซื้อของที่ 7-11 แป๊บเดียว ขนาดหนูไม่อยากเจอเขานะเนี่ยพี่" (แกหัวเราะร่วน ด้วยความชอบใจ พร้อมท่าทางที่บ่งบอกว่าอยู่ในภวังค์แห่งรักเต็มที่)

พอเขากลับมา พวกเขาไปที่ 7-11 เหมือนกัน ไปซื้อเหล้า แล้วบังเอิญหนูออกมาจากที่นั่น พอเขาเห็นหน้าหนู เขาอึ้ง แล้วกระโดดกอดหนู พร้อมกับบอกว่า ฉันนึกว่าเธอจะไม่อยู่แล้วเสียอีก คืนนั้นของเขากับหนู หนูมีความสุขมากพี่ หนูบอกไม่ถูก กับแขกคนอื่นๆ หนูก็แค่นอนๆ ให้มันเสร็จๆ แต่กับเขาหนูรู้สึกแปลกไป พี่เชื่อไหม ก่อนเขาจะกลับ เขานั่งพับเสื้อผ้าให้หนู แล้วพอหนูถามว่าทำไมต้องมาทำให้หนูด้วย เขาบอกว่า ไม่รู้สิ ก็ฉันอยากทำให้เธอ หนูรู้สึกอบอุ่นมากเลยพี่ เขาไม่เหมือนแขกคนอื่นๆ ที่จะมีแต่เอาๆ แล้วก็เสร็จ หนูบอกไม่ถูกพี่ หนูได้อยู่กับเขาแค่คืนเดียว เขาก็ต้องกลับประเทศของเขาแล้ว พอเขาไป หนูเดินร้องไห้กลับมาที่บาร์ หนูไม่รู้ว่าทำไมหนูถึงรู้สึกแบบนี้ หนูกลับมานั่งร้องไห้ที่บาร์ เพื่อนๆ ถามว่าหนูเป็นอะไร หนูบอกว่าหนูไม่รู้ เขากลับไปแล้ว หนูเสียใจ หนูไม่รู้ว่ามันเป็นความรักไหม แต่เพื่อนๆ บอกหนูว่า หนูคงตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว"




ตามสายตาของฉันแล้ว ผู้หญิงที่มีความรัก เธอจะดูสวย แม้กระทั่งหนูคนนี้ ที่ถึงแม้เธอจะอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อกล้ามตัวใหญ่ (ตามตัว) ใส่หมวกแก๊บ รองเท้าคีบ เธอก็ยังดูสวย เพราะความรักที่อยู่ในตาของเธอ ยามเธอเล่าถึงแฟนของเธอ แต่เรื่องราวของเธอที่เล่าสู่ฉันฟังยังไม่จบแค่นั้น


"พี่หนูนะ เหมือนมีกรรม เหมือนอะไรๆ ก็ลงแต่หนู หนูมีคนมาชอบ อยู่ที่บ้านนั่นแหละ แม่เขาเป็นเศรษฐีนี เขารังเกียจหนูว่าหนูจน เขาโทรมาด่าหนูหาว่าหนูเอาเงินลูกชายเขา ซึ่งหนูไม่เคยเอาเลย หนูไม่เคยนึกชอบด้วยซ้ำไป แล้วตอนนี้ น้องชายหนูก็อยู่โรงพยาบาล ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ......แต่หนูกลัวจังพี่ น้องทั้งอาเจียน ทั้งกินอะไรไม่ได้ พรุ่งนี้หนูจะโอนเงินไปให้แม่อีกห้าพันบาท ไม่รู้ว่าบัตรสามสิบบาทจะใช้ได้ไหม หนูกลัว น้องหนูจะเป็นมากกว่าไข้หวัดใหญ่ สงสารแม่หนูจังเลยพี่ แม่หนูนะ เวลาลูกเป็นอะไร แม่ร้องไห้ทุกที คราวนี้หนูได้แต่บอกแม่ว่า ทำใจดีๆ ไว้นะ ตอนนี้หนูกำลังรอเงิน แฟนหนูบอกว่าจะส่งเงินมาให้ เขาไม่เคยส่งเงินให้ใครนะพี่ ถ้าเขาไม่รักหนูจริงๆ เขาคงไม่ส่งเงินให้ใช่ไหมพี่"


ทุกครั้งที่หนูแกถาม ใช่ไหมพี่ นับตั้งแต่ค่าเปิดบริสุทธิ์ ห้าพัน นั่นแล้ว ฉันอึ้งอยู่ในใจ พร้อมนึกสงสารแก คนเรานี่มีค่ากันเท่านี้หรือไง แต่ทางเลือกก็ใช่ว่าจะมีมากนักสำหรับผู้หญิงหลายๆ คน โดยเฉพาะเด็กสาวที่ไม่มีทางไปแบบนี้ ความแตกต่างมันมีมากมายจริงๆ สำหรับสังคมของเราทุกวันนี้ ...........








นึกเทียบกันกับชีวิตตัวเอง หรือเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ดูเหมือนว่า ชีวิตฉันจะโชคดีกว่ามาก ฉันจบการสนทนากับหนูแกลง ด้วยเพราะมีลูกค้าคนอื่นมา หนูแกยกมือไหว้ฉันแล้วบอกว่า พรุ่งนี้หนูจะมาใหม่นะคะพี่........

Sunday, May 29, 2005

เ รื่ อ ง ส่ ว น ตั ว

หัวข้อบอกอยู่โต้งๆ ละนะครานี้ อยากพูดเรื่องส่วนตัวของตัวบ้าง คงไม่สะกิดต่อมอะไรใครเข้าให้ เพราะคนเข้ามาอ่านจริงๆ ก็แทบจะนับคนได้อยู่แล้ว แล้วคนที่อ่านก็รู้ๆ กันอยู่

จะว่าไปแล้ว ฉันเลิกนับแล้วล่ะ ว่าไม่ได้เข้ามาเขียนอะไรนานแค่ไหนแล้ว วันนี้ปะเหมาะ จะฤกษ์ดีหรือยังไรก็ไม่ทราบ แต่มันอยากเขียน เขียนทั้งๆ ที่มึน ๆอยู่นี่แหละ ทำไมถึงมึนล่ะ มึนสิ ไข้แหลกนี่หว่า เมื่อคืนนี้เอง อาการมันแปลกๆ ตั้งแต่เย็นวานนี้แล้วล่ะ ปวดหัวตุบตับ ไม่ค่อยชินกับอาการปวดหัวแบบนี้ มันไม่เหมือนไมเกรนเพื่อนเก่าที่ขานั้นมาทักทายกันบ่อยกว่า พอรู้ตัวว่าอาการแปลกๆ เลยเดาได้ว่าอาการแบบนี้ไข้หวัดแหงมๆ เพราะมึนๆ หนักๆ หัว จามทีเหมือนกบาลแทบแยก ก็ไข้ธรรมดามันจะมีจามด้วยไงล่ะ เอ หรือว่ามีหว่า ช่างมัน ก็เหตุนี้แหละ เมื่อคืนเลยต้องหนีจากหน้าจอไปเร็ว ชนิดที่ใครๆ ก็งง เพราะปกติฉันอยู่เหมือนปูโสมเฝ้าจอ

แล้วคนเรานี่นะ คิดว่าเป็นเหมือนกันเกือบจะทุกคนแหละ ไม่สบายดี มันจะสารพัดจะงอแง นี่ก็อยากถีบตัวเองเหมือนกัน เบื่อเวลาไม่สบายแล้วพาล แล้วงอแง อยากอ้อนไม่เข้าเรื่อง หาเรื่องคนก็มีบางทีน่ะ ฉันก็ไม่ได้แตกต่างหรอก เวลาไม่สบายออกจะอ้อนผิดปกติด้วยซ้ำ งอแงมากๆ ด้วยบางที เมื่อคืนก็อาการนี้มาเยือนล่ะ อาบน้ำ กรอกยาเข้าปากสี่เม็ดถ้วนๆ ก็ปิดไฟนอน ก่อนจะหลับตา ยังอุตส่าห์กระแดะ ส่งข้อความไปรวนใครบางคน หาว่าเขาใจร้ายเสียนั่น ตัวเองอยู่ดีไม่ว่าดีนะ แต่ทำไงได้ล่ะ คนมันอยากกวน อยากอ้อนนี่นา ปกติถ้าเป็นอารมณ์ปกติของตัว ที่ยังสบายๆ ไม่ป่วยไม่ไข้ คงไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ๆ คนเรานะมันมันศักดิ์ศรี ถึงจะบ้าๆ บอๆ ก็ช่างเหอะ กับคนนี้คนเดียว คนที่เป็น my exception ทุกกรณีของฉัน ฉันไม่อยากไปทำท่าอะไรมาก ฉันไม่อยากจะไปตามติด วุ่นวายอะไรกับเขามาก เพราะ status ฉันเป็บแบบไหนฉันก็ยังไม่รู้ เพราะงั้นฉันไม่อยากจะไปวุ่นกับเขาให้มากเกิน ถ้าเขาเงียบ ฉันก็มักจะเงียบ แต่พอเวลาฉันไม่สบาย ไอ้ความมีเหตุผลของฉันมันปลิวหายไปไหนไม่รู้ เมื่อคืนพอฉันเคลิ้ม ได้รับข้อความกลับมา ส่งไปอย่างได้มาอย่าง เหมือนคุยคนละเรื่องเดียวกัน ซึ่งมันก็ปกติของฉันกับเขาแหละ แต่อารมณ์ฉันอยากรวนคน แม่ก็ส่งข้อความไปอีกหลาย มาคิดอีกที ฉันรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่า ทำไมต้องไปทำอะไรบ้าบอคอแตกแบบนั้นก็ไม่รู้ เบื่อตัวเองก็ตรงนี้แหละ เบื่อเวลาไม่สบาย ห้ามตัวเองไม่ค่อยจะอยู่


สรุปว่าเกลียดตัวเองอีกแล้ว -__-''


เซ็ง จบดีกว่า

Wednesday, May 04, 2005

สถาบัน

เรื่องวันนี้ ถ้าใครไม่ชอบใจ ปิดไปได้เลยนะคะ (แหม อย่างกับบล็อกแม่คุณคนมาอ่านล้นหลามเสียงั้นแหละๆเวลาเขียนก็แอบซะ หุหุ) อาจจะดูแปลกๆ หน่อย แรงหรือเปล่าไม่แน่ใจ ถ้าสงสัยลองตามอ่านดูแล้วกันนะ ว่ามุมมองของผู้หญิงแบบฉันจะเป็นไง


ฉันปีนี้อายุเฉียดเลขสามแล้วนะ ปีหน้านี้ก็จะได้ใช้เลขสามนำหน้าล่ะ ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะ conservative หรือจะบอกว่าหัวโบราณหน่อยๆ ก็ไม่ผิด ฉันเติบโตมากับการสั่งสอนให้รัก ให้เทิดทูนสถาบัน ให้รักพระมหากษัตริย์ของเรา ฉันชินกับภาพที่เห็นพระองค์ทรงงานไปตามที่ต่างๆ ฉันคิดว่าถ้าใครอายุรุ่นๆ ฉันหรือแก่กว่าคงจะนึกออกกระมังว่าเป็นอย่างไร


เกี่ยวไรกะคนสมัยนี้ล่ะ ใช่ไหม หงุดหงิดใจนะสิ ไปอ่านกระทู้ในพันทิป ห้องหมา อ่านแล้วละเหี่ยใจ เรื่องหมาท่าแร่ ถ้าใครเคยอ่านบล็อกฉันเมื่อปีที่แล้ว คงยังจำเรื่องเจ้าแดง หมาที่ฉันเลี้ยงไว้ที่สำนักงานเดิมของฉันได้ ไอ้เรื่องคราวนั้นที่ฉันนึกขึ้นมาทีไรก็ปวดใจขึ้นมาเมื่อนั้น แต่ทำไงได้ล่ะ คนเราแต่ละพื้นที่มีวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน จะไปว่าเขาก็ใช่ที่ คนที่หากินกับพวกเขาต่างหากล่ะที่มันน่าด่า แต่ก็ช่างมันเถิด แผ่เมตตาให้มันเอ้ยคนพวกนั้นคงจะพอทำใจให้สบายได้ แต่ไอ้เรื่องที่ฉันเพิ่งจะไปแยกเขี้ยวกัดกับเขามาหมาดๆ เรื่องราวที่แสนจะละเหี่ยใจของคนที่เรียกตัวเองว่ารักหมา (รักกันจริงรักกันจัง รักจนไม่ได้ดูถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมหรือความเป็นไปได้ต่างๆ เลย)


ใครหลงมาเข้าบล็อกฉันก็ลองไปอ่านดูแล้วกันนะ ฉันหมดแรงจะบรรยายล่ะ อ่านแล้วหมั่นไส้พิลึก หมากับในหลวง ถามกันหน่อยเถิด จะเลือกใคร เรื่องเล็กเรื่องน้อย ทำไมต้องไปหาให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทกันขนาดนั้น หน่วยงานองค์กรต่างๆ ของรัฐนี่ไม่ได้คิดจะไปพึ่งพากันเลยหรือไงนะ ทำไมถึงจะต้องไปทำป้ายเสนอให้ท่านทรงทอดพระเนตร แล้วเรื่องหมาท่าแร่น่ะ กินกันมาแต่สมัยไหน เฮ้ออ คนเรานะ มองอะไรไม่เหมือนกันจริงๆ

ฉันว่าคนสมัยนี้ความคิดเขาหยาบขึ้น เขาไม่ได้เห็นภาพในหลวงทรงงานตามที่ต่างๆ เขาไม่ได้มานั่งซาบซึ้งกับสถาบันเหมือนอย่างคนรุ่นฉันหรือแก่กว่านั้นเป็น ดูเหมือนว่าคนสมัยนี้จะคิดถึงแต่ตัวเอง และสิ่งที่ตนรักเป็นสำคัญ คิดดูเอาเถิดจะเสนอเรื่องหมากับในหลวง ควรหรือไม่ควรละนั่น ความคิดความอ่านของคนสมัยนี้ดูแปลกๆ จะว่าเห็นแก่ตัวก็ไม่เชิง คงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมละมัง

ฉันขี้เกียจบ่นล่ะ บ่นไปก็เท่านั้น รู้สึกหงุดหงิดใจตัวเองเปล่าๆ ปลี้ๆ เปลืองแรงคิด เปลืองแรงอธิบาย เพราะเขามองต่างมุมกับฉัน คนเรานี่น้อ มันอยู่ที่มุมมองกันจริงๆ ฉันพยายามจะคิดแบบนี้ล่ะ ไม่งั้นฉันคงงุ่นง่านกับเรื่องนี้เปล่าๆ




การกระทำของคนมันสะท้อนถึงความคิด และวุฒิภาวะเหมือนกันน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะดีเด่อะไรกว่าใครหรอกนะ มันแค่คนละมุมมองจริงๆ






ป่านนี้นังแดงมันไปเกิดใหม่หรือยังน้อ คงไม่ได้เกิดมาเป็นหมาอีกชาติหรอกนะ แดงนะ

Thursday, April 21, 2005

+ + + something on my mind + + +

กี่เดือนแล้วนี่นะ ที่ฉันห่างหายไปจากการ update มุมส่วนตัวของฉัน กี่เดือนแล้วไม่รู้ รู้แต่ว่าชีวิตมันมีแต่ความยุ่งเหยิง บวกกับงานบางอย่างที่รับมา มันกินเวลาที่ฉันควรจะมีเป็นส่วนตัวหายไปเสียหมด กระทั่งเวลาจะดูแลตัวเองยังแทบไม่ค่อยมี ประสาอะไรกับมุมตรงนี้ของฉันละนะ ดูเอาเถิด กลับมาทีก็ต้องมาปัดกวาดหยากไย่ ฝุ่นหนาเตอะเป็นคืบแล้วกระมังเนี่ย

เหนื่อยจัง เหนื่อยใจ วันนี้ฉันไม่อยากนำเสนอมุมมองความคิดของฉันต่ออะไรละนะ ฉันอยากจะบ่น อยากจะระบายสิ่งที่มันอยู่ในใจฉันออกมา ฉันเหนื่อยใจ ฉันแปลกๆ ฉันรู้สึกเกลียดแกมสงสารตัวเองอยู่ในที ปากฉันแข็ง แต่ใจฉันมันอ่อน มันมีอะไรหลายต่อหลายอย่างเหลือเกินที่วนเวียนอยู่ในความคิดอยู่ในจิตใจ


เมื่อคืนอยู่ดีๆ ฉันก็นอนไม่หลับ จะเป็นเพราะฉันนอนหลับตอนค่อนรุ่งมาเสียหลายเดือนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ครั้งฉันจะปิดไฟ ข่มตาลงนอนเร็วกว่านั้นกลับนอนไม่หลับ ความคิด จิตใจมันคิดย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉันยังมี "เขา" ฉันไม่รู้ว่าทำไม อยู่ดีๆ กลางดึกคืนวานนี้ฉันก็นึกถึงเขา นึกถึงวันเวลาดีๆ ที่เคยมีด้วยกัน คิดถึงเขาขึ้นมาจับใจ คิดถึงทุกๆ อย่าง คิดถึงอ้อมกอดเขาที่เคยมีให้มา จะเป็นเพราะฉันเพิ่งได้คุยกับเขาอย่างเปิดอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขามีใครคนใหม่ที่เป็นปัจจุบันของเขาแล้ว แต่ฉันยังมีแค่อดีต ปัจจุบันของฉันยังเลือนลางนัก ฉันยังไม่มีใครพอจะเป็นหลักให้ฉันยึดได้เลย รู้ดีกว่าตัวเองอ่อนไหว รู้ดีเพราะความผูกพัน มันเลยทำให้ฉันคิดอะไรไปแบบนั้น ขณะเดียวกันอีกคนที่ฉันนึกถึง ดูเหมือนจะเป็นฉันคนเดียวละมัง ที่นึกถึงเขาแบบนั้น จริงๆ แล้วไม่อยากให้ตัวเองให้ความสำคัญอะไรกับใครมากมายแบบนี้นักหรอก หากเป็นเขา คนเคยคุ้นของฉันก็พอว่า เพราะอย่างไรเสีย ฉันกับเขาก็เคยมีเส้นทางร่วมกัน แต่ใครอีกคนนั้น ฉันบอกไม่ถูกหรอกนะ อาจจะเป็นเพราะความเคยชิน ใจมันเลยแปลกๆ ไป ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ ฉันไม่อยากให้ตัวเองต้องคอยเอาสมองมาคิดเรื่องแบบนี้ บางทีฉันแอบมาน้อยใจ ที่ถูกเมิน ไม่คุย ไม่มีการติดต่อ ฉันแค่อยากมีความสำคัญบ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้


วันนี้ ฉันเกลียดตัวเอง เกลียดที่เอาใจตัวเองไปผูกกับเขา เกลียดที่ไปนึกถึงคนเก่า ที่เขามีความสุขดีแล้ว เกลียดที่ต้องไปนึกถึงวันวาน เกลียดที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ฉันยังนึกถึง



เกลียดที่สุดคือ ใจตัวเอง ที่ต้องไปแคร์กับใครบางคน



ฉันจะทำอะไรได้บ้างนะ

Sunday, January 09, 2005

ฉัน แปลก ไป

ดูเหมือนฉันจะห่างจากการ update ไปเรื่อยๆ ทุกทีๆ สิเนี่ย ไม่รู้สิ อยากเขียน แต่สมอง กับสองมือมันไม่อำนวยเท่าไหร่ เหมือนๆ รอยหยักในสมองจะน้อยลงไปหรือเปล่าก็สุดจะเดา เพราะความคิด หรือความเห็นเรื่องอะไรแทบไม่มี เหมือนหลับตาลงทีไรก็เห็นแต่กระดาษขาวๆ พื้นที่ว่างเปล่า หรือสมองฉันมันน้อยใจที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน เลยหนีหายไปเสียแล้ว!!


จริงๆ จะว่าไปแล้วจะไม่มีอะไรบ่น หรือเขียนก็ไม่เชิง มันเหมือนติดๆ อยู่ในใจ ร่ำ ๆ อยากจะเขียนหลายคราว แต่ก็ไม่รู้มีอะไรดลใจไม่ให้เขียน จะด้วยเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ฉันมักคิดเสมอว่า เรื่องส่วนตัวมิพึงเปิดเผยทางพื้นที่สาธารณะ แต่คิดอีกที มันก็ใช่จะส่วนตัวอะไรมากมาย มันแค่ความคิดแปลกๆ ของฉันเท่านั้นเอง แต่หากก็เป็นความคิดที่ฉันมาย้อนถามตัวเองอยู่ทุกบ่อยว่า อะไรหนอที่มันดลบันดาลให้ฉันคิดอะไรแบบนี้ และดูเหมือนฉันจะรู้สึกขึ้นทุกวัน
คนที่เคยมาอ่าน blog ของฉัน ถ้าเห็นงานเขียนชิ้นนี้ของฉันแปลกๆ ดูไม่เหมือนเคย ก็ได้โปรดทำใจ หรือถ้าคิดว่าอาจจะไม่เข้าทาง หรือเข้าตาท่านๆ ก็ปิดออกไปเสียก็ได้นะ เพราะคราวนี้ ฉันจะร่ายความคิดแผลงๆ จะปนทะลึ่งนิดหน่อยหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบแน่ สุดแท้แต่เจ้านิ้วทั้งสิบ และสมองที่เหลือพื้นที่อยู่น้อยเต็มทีจะพาไปแล้วกันนะคุณๆ ท่านๆ


มานั่งสังเคราะห์ความคิดตัวเอง ถึงมารู้ว่า สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกตัวว่ามีความคิดแบบนี้อยู่ในตัว ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ได้ความคิดทำนองนี้มานานแล้วหรือยัง หรือมีติดตัวมาตั้งนมนานแล้วแต่เพิ่งรู้ตัว ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน "ฉัน บ้า กาม" หนังสือเนื้อหาได้ใจ(ในความคิดฉัน) ของสาวแสนจะมั่นคนนั้น นักเขียนชาวเหนือคนโปรดของฉัน "คำ ผกา" ด้วยถ้อยคำง่ายๆ สำนวนเรียบๆ ไม่ต้องเสริม ต้องเติมหรือแต่ง แต่เขียนออกมาได้น่าสนใจน่าติดตามทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องมุมมองความเป็นหญิงของเธอ มั่นขนาดไหนนั้น ก็ขนาดที่ถ่ายแบบไม่มีเสื้อผ้าติดตัว ในนิตยสารของผู้ชายฉบับหนึ่งนั่นเชียวล่ะ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันติดใจ ฉันติดตากับความคิดความอ่านของเธอต่างหาก เธอมองอะไรๆ ด้วยความเป็นธรรมชาติของคน ไม่ใช่ด้วยอุดมคติ หากยืนอยู่บนพื้นของความเป็นจริง และ "ฉัน บ้า กาม" ก็เป็นอีกหนึ่งงานของเธอที่สะท้อนความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ จริงๆ จะบอกว่า มันเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของสาวๆ ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ฉันถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่ใช่แต่บรรดาสาวๆ ที่ "คำ ผกา" เขียน แต่หากยังรวมถึงตัวฉันด้วย ความคิดของฉันทำนองนี้ ดูจะมากขึ้นทุกที ฉันถึงบอกว่ามันเป็นความรู้สึกแปลกๆ จะเพราะฉันไม่ใช่คนที่มาคิดอะไรกับเรื่องพวกนี้มากมาย หรือเพราะฉันเคยเป็นคนที่ยึดมั่น ถือมั่นด้วย


ฉันค้นพบว่า ฉันเริ่มไม่ต้องการการผูกมัด ไม่ต้องการมีใครเป็นคนพิเศษในชีวิตมากขึ้นทุกที ฉันพบว่า ฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิตคนเดียว เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว ฉันไม่อยากมีใคร ไม่อยากมีความสัมพันธ์กับใครเป็นเวลานาน (แต่กระทั่งระยะสั้นฉันก็ยังไม่มีนะ) มีบ้างเหมือนกัน ที่ฉันอยากจะมีใคร เวลารู้สึกเหงาขึ้นมาแบบจับจิต อยากมีเหมือนกัน ใครสักคนที่จะเติมจะเต็มความรู้สึกเวลาเราเหงาได้ อยากมีใครเหมือนกันที่จะจูงมือ เดินเที่ยว หรือดูหนังด้วยกันสักเรื่อง ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา แต่ขอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ บางทีเวลาที่เหงาเสียจนไม่รู้จะบอกอย่างไร ก็อยากมีเหมือนกัน คนที่จะคอยกอดให้อุ่นใจ แต่ก็แค่นั้นแหละ ที่คิดถึงบ่อยๆ คือ อ้อมกอดอุ่นๆ (แต่ของใครไม่ทราบได้) ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นเลย พอหายเหงา หรือหายเบื่อ ก็ไม่อยากได้แล้วอ้อมแขนอุ่นๆ นั้น ดูจะร้อนไปด้วยซ้ำ ดูเหมือนฉันจะชินกับการอยู่คนเดียว ฉันไม่ได้ต้องการใครจริงจัง แค่ขอมีเพื่อนอยู่ด้วยเวลาเหงาๆ ก็เท่านั้นแหละ
ฉันเคยยึดถือกับใครบางคนเป็นพักๆ เวลาพลาด ฉันถึงเจ็บหนักนัก แต่ตอนนี้ จะเพราะฉันโตขึ้นหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ ความคิดฉันเลยแแปลกไป จากที่เคยอยากมีรัก อยากมีใคร ทุกวันนี้ ฉันอยากมีแค่ยามฉันเหงา ..........



ก็แค่เวลาเหงานั่นแหละ ที่อยากได้เหลือเกิน อ้อมกอดอุ่นๆ ของใครสักคน.......