ดูเหมือนฉันจะห่างจากการ update ไปเรื่อยๆ ทุกทีๆ สิเนี่ย ไม่รู้สิ อยากเขียน แต่สมอง กับสองมือมันไม่อำนวยเท่าไหร่ เหมือนๆ รอยหยักในสมองจะน้อยลงไปหรือเปล่าก็สุดจะเดา เพราะความคิด หรือความเห็นเรื่องอะไรแทบไม่มี เหมือนหลับตาลงทีไรก็เห็นแต่กระดาษขาวๆ พื้นที่ว่างเปล่า หรือสมองฉันมันน้อยใจที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน เลยหนีหายไปเสียแล้ว!!
จริงๆ จะว่าไปแล้วจะไม่มีอะไรบ่น หรือเขียนก็ไม่เชิง มันเหมือนติดๆ อยู่ในใจ ร่ำ ๆ อยากจะเขียนหลายคราว แต่ก็ไม่รู้มีอะไรดลใจไม่ให้เขียน จะด้วยเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ฉันมักคิดเสมอว่า เรื่องส่วนตัวมิพึงเปิดเผยทางพื้นที่สาธารณะ แต่คิดอีกที มันก็ใช่จะส่วนตัวอะไรมากมาย มันแค่ความคิดแปลกๆ ของฉันเท่านั้นเอง แต่หากก็เป็นความคิดที่ฉันมาย้อนถามตัวเองอยู่ทุกบ่อยว่า อะไรหนอที่มันดลบันดาลให้ฉันคิดอะไรแบบนี้ และดูเหมือนฉันจะรู้สึกขึ้นทุกวัน
คนที่เคยมาอ่าน blog ของฉัน ถ้าเห็นงานเขียนชิ้นนี้ของฉันแปลกๆ ดูไม่เหมือนเคย ก็ได้โปรดทำใจ หรือถ้าคิดว่าอาจจะไม่เข้าทาง หรือเข้าตาท่านๆ ก็ปิดออกไปเสียก็ได้นะ เพราะคราวนี้ ฉันจะร่ายความคิดแผลงๆ จะปนทะลึ่งนิดหน่อยหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบแน่ สุดแท้แต่เจ้านิ้วทั้งสิบ และสมองที่เหลือพื้นที่อยู่น้อยเต็มทีจะพาไปแล้วกันนะคุณๆ ท่านๆ
มานั่งสังเคราะห์ความคิดตัวเอง ถึงมารู้ว่า สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกตัวว่ามีความคิดแบบนี้อยู่ในตัว ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ได้ความคิดทำนองนี้มานานแล้วหรือยัง หรือมีติดตัวมาตั้งนมนานแล้วแต่เพิ่งรู้ตัว ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน "ฉัน บ้า กาม" หนังสือเนื้อหาได้ใจ(ในความคิดฉัน) ของสาวแสนจะมั่นคนนั้น นักเขียนชาวเหนือคนโปรดของฉัน "คำ ผกา" ด้วยถ้อยคำง่ายๆ สำนวนเรียบๆ ไม่ต้องเสริม ต้องเติมหรือแต่ง แต่เขียนออกมาได้น่าสนใจน่าติดตามทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องมุมมองความเป็นหญิงของเธอ มั่นขนาดไหนนั้น ก็ขนาดที่ถ่ายแบบไม่มีเสื้อผ้าติดตัว ในนิตยสารของผู้ชายฉบับหนึ่งนั่นเชียวล่ะ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันติดใจ ฉันติดตากับความคิดความอ่านของเธอต่างหาก เธอมองอะไรๆ ด้วยความเป็นธรรมชาติของคน ไม่ใช่ด้วยอุดมคติ หากยืนอยู่บนพื้นของความเป็นจริง และ "ฉัน บ้า กาม" ก็เป็นอีกหนึ่งงานของเธอที่สะท้อนความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ จริงๆ จะบอกว่า มันเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของสาวๆ ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ฉันถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่ใช่แต่บรรดาสาวๆ ที่ "คำ ผกา" เขียน แต่หากยังรวมถึงตัวฉันด้วย ความคิดของฉันทำนองนี้ ดูจะมากขึ้นทุกที ฉันถึงบอกว่ามันเป็นความรู้สึกแปลกๆ จะเพราะฉันไม่ใช่คนที่มาคิดอะไรกับเรื่องพวกนี้มากมาย หรือเพราะฉันเคยเป็นคนที่ยึดมั่น ถือมั่นด้วย
ฉันค้นพบว่า ฉันเริ่มไม่ต้องการการผูกมัด ไม่ต้องการมีใครเป็นคนพิเศษในชีวิตมากขึ้นทุกที ฉันพบว่า ฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิตคนเดียว เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว ฉันไม่อยากมีใคร ไม่อยากมีความสัมพันธ์กับใครเป็นเวลานาน (แต่กระทั่งระยะสั้นฉันก็ยังไม่มีนะ) มีบ้างเหมือนกัน ที่ฉันอยากจะมีใคร เวลารู้สึกเหงาขึ้นมาแบบจับจิต อยากมีเหมือนกัน ใครสักคนที่จะเติมจะเต็มความรู้สึกเวลาเราเหงาได้ อยากมีใครเหมือนกันที่จะจูงมือ เดินเที่ยว หรือดูหนังด้วยกันสักเรื่อง ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา แต่ขอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ บางทีเวลาที่เหงาเสียจนไม่รู้จะบอกอย่างไร ก็อยากมีเหมือนกัน คนที่จะคอยกอดให้อุ่นใจ แต่ก็แค่นั้นแหละ ที่คิดถึงบ่อยๆ คือ อ้อมกอดอุ่นๆ (แต่ของใครไม่ทราบได้) ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นเลย พอหายเหงา หรือหายเบื่อ ก็ไม่อยากได้แล้วอ้อมแขนอุ่นๆ นั้น ดูจะร้อนไปด้วยซ้ำ ดูเหมือนฉันจะชินกับการอยู่คนเดียว ฉันไม่ได้ต้องการใครจริงจัง แค่ขอมีเพื่อนอยู่ด้วยเวลาเหงาๆ ก็เท่านั้นแหละ
ฉันเคยยึดถือกับใครบางคนเป็นพักๆ เวลาพลาด ฉันถึงเจ็บหนักนัก แต่ตอนนี้ จะเพราะฉันโตขึ้นหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ ความคิดฉันเลยแแปลกไป จากที่เคยอยากมีรัก อยากมีใคร ทุกวันนี้ ฉันอยากมีแค่ยามฉันเหงา ..........
ก็แค่เวลาเหงานั่นแหละ ที่อยากได้เหลือเกิน อ้อมกอดอุ่นๆ ของใครสักคน.......
Sunday, January 09, 2005
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
4 comments:
โห เขียนได้ยิ่งกว่าตรงจิตตรงใจหนู
เป็นเหมือนกันค่ะ แล้วก็ไม่รู้จะพูดยังไงต่อ เพราะพี่พูดไปหมดแล้ว
แต่ถ้าถามแกะ แกะจะบอกว่า เพราะปัจจุบันผู้หญิงแกร่งพอ ๆ กับผู้ชาย
แล้วก็มีที่ยืนในสังคมมากกว่าเดิม
จนไม่ต้องอาศัยผู้ชายในการแสวงหาที่ของตัวเองทางสังคมอีกในระดับหนึ่ง
อืมมม ... faminist มากไปไหมหนอ
อีกอย่างก็คือ เรารักอิสระแล้วก็เสียนิสัยกันเกินไป
อยากให้ชีวิตเป็นของเราอย่างเดียว ไม่ต้องเสียสละหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไปเพื่อใคร
เราอาจจะยังไม่เจอคนที่ถูกใจจริง ๆ ก็ได้กระมัง
สมัยที่ยังไม่มีแฟนเป็นของตัวเองก็เคยคิดประมาณนี้
แต่คิดว่า มันไม่ใช่อารมณ์บ้ากามอะไร
มันเป็นแรงขับทางเพศแบบหนึ่ง (หรือฉันคิดเข้าข้างตนเอง โอ..ไม่นะ)
ทุกวันนี้ เมื่อมีคนรักเป็นของตนเอง
ก็ยังคิดแบบนี้อยู่ นะ
จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็ตรงที่ว่า
การคิดแบบเรา กับ การคิดแบบเขา ไม่ตรงกันนัก
ความรักแบบผู้หญิง ส่วนใหญ่ จะชอบที่ความพอดี
ชอบการจ้องตา และสัมผัส
มากกว่าเรื่องทางเพศ
(ฉันเชื่อแบบนั้น แม้ว่า จะไม่ได้อ่านหนังสือ ของ คำ ผกา)
ผู้หญิง มักจะดื่มกินที่อารมณ์ มากกว่า การกระทำนะ
และความคิด ที่ล่วงไป มันก็ทำให้มีความสุขได้
ซึ่ง น้อยนัก ที่ฝ่ายชายจะเป็นแบบนี้
ฉันคิดว่า ผู้หญิงน้อยคน จะพูดถึงความรู้สึกลึกๆในตนเอง
ความรู้สึกเหล่านี้ จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้าม
ที่อยู่กับผู้หญิงมายาวนาน
ขนาดคนเป็นเพื่อนกัน สนิทกัน ยังพูดกันยาก
ประสาอะไร ...
ดังนั้นการเข้าใจตนเอง ดีที่สุดแล้ว
หลักสี่
สมัยที่ยังไม่มีแฟนเป็นของตัวเองก็เคยคิดประมาณนี้
แต่คิดว่า มันไม่ใช่อารมณ์บ้ากามอะไร
มันเป็นแรงขับทางเพศแบบหนึ่ง (หรือฉันคิดเข้าข้างตนเอง โอ..ไม่นะ)
ทุกวันนี้ เมื่อมีคนรักเป็นของตนเอง
ก็ยังคิดแบบนี้อยู่ นะ
จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็ตรงที่ว่า
การคิดแบบเรา กับ การคิดแบบเขา ไม่ตรงกันนัก
ความรักแบบผู้หญิง ส่วนใหญ่ จะชอบที่ความพอดี
ชอบการจ้องตา และสัมผัส
มากกว่าเรื่องทางเพศ
(ฉันเชื่อแบบนั้น แม้ว่า จะไม่ได้อ่านหนังสือ ของ คำ ผกา)
ผู้หญิง มักจะดื่มกินที่อารมณ์ มากกว่า การกระทำนะ
และความคิด ที่ล่วงไป มันก็ทำให้มีความสุขได้
ซึ่ง น้อยนัก ที่ฝ่ายชายจะเป็นแบบนี้
ฉันคิดว่า ผู้หญิงน้อยคน จะพูดถึงความรู้สึกลึกๆในตนเอง
ความรู้สึกเหล่านี้ จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้าม
ที่อยู่กับผู้หญิงมายาวนาน
ขนาดคนเป็นเพื่อนกัน สนิทกัน ยังพูดกันยาก
ประสาอะไร ...
ดังนั้นการเข้าใจตนเอง ดีที่สุดแล้ว
หลักสี่
จากที่อ่านหนังสือ ของ คำผกา หลายๆ เล่ม ดิฉันคิดว่า สิ่งที่เธอต้องการจะบอกไม่ใช่การที่ไม่ให้เรามีเซ็กส์หรือไม่ต้องการผู้ชายอีกเลยนะคะ
แต่เธอต้องการบอกว่า ผู้หญืงเรา มีเสรีภาพในเรื่อง รัก และ ใคร่
ไม่ให้ผู้หญืง ตีกรอบของความเป็นเพศหญิงว่าจะต้อง น่ารัก งดงาม น่าทะนุถนอม เพราะนั่นหมายถึงการจำกัดตัวเอง
มีหนึ่งบทความที่เธอกล่าวถึง คำพูดของ anable chong ที่ว่า "ถ้าผู้ชายนอนกับผู้หญิง 251 คน เขากลายเป็นยอดชายผู้ทรหด แต่พอผู้หญิงนอนกับผู้ชาย 251 คนเธอกลายเป็นดอกทองไปเลย"
เพราะสื่งที่เกิดขึ้นจากการตีกรอบ มันสะท้อนถึงทัศนคติของ
การเมืองและสังคมไทย ค่ะ อย่างเช่นเรื่องที่พูดถึง การเปลี่ยนนามสกุล หรือ คุณระเบียบรัตน์ มันก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ว่า เพศหญิง จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง มันโยงไปถึงการครอบงำทางการเมือง
ดังข้อความหนึ่งที่เธอกล่าวว่า
" ฉันไม่ได้ออกมาวิพากวิจารณ์สื่งเหล่านี้ เพื่อจะบอกว่า ผู้หญิงทั้งหลายมาเป็นโสดกันเถอะ เพราะการมีคู่คือการถูกกักขังหรืออะไรทั้งนั้น เพราะด้านหนึ่งการมีคู่หรือการได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารักถือเป็นความสุขอย่างประเสืรฐอย่างหนึ่งของมนุษย์เลยทีเดียว แต่กำลังจะบอกว่าชีวิตไม่ได้มีแค่สองทาง คือ โสด กับ ไม่โสด และแต่งงานไม่ได้แปลว่าดีกว่าโสด หรือโสดดีกว่าแต่งงาน ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร แต่มันขี้นอยู่กับว่าเงื่อนไขของคุณคืออะไร และคุณเลือกอะไร "
yooyoung
Post a Comment