Wednesday, July 13, 2005

คนบาปในเมืองบาป

รังเกียจ หรืออคติ ความรู้สึกนี้ เกิดขึ้นกับฉันเมื่อสักเดี๋ยวนี่เอง เป็นความรู้สึกที่นับตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจะรู้สึกอะไรทำนองนี้บ่อยนัก จริงๆ เริ่มๆ รู้สึกมาสักพักแล้ว กับคนๆ หนึ่ง วันนี้ฉันคงจะเขียนเรื่องรวมๆ จับฉ่ายของเมืองบาปแห่งนี้อีกสักหน่อย รวมถึงเรื่องราวของคนที่ฉันรู้สึกว่า "รังเกียจ หรือจะอคติ" ก็ไม่ทราบได้ กับพฤติกรรมของเธอคนนี้

ย้อนไปสักหน่อย จะเห็นได้ว่า ฉันเขียนเรื่องเมืองบาปนี้มาสองสามตอนได้แล้ว และล่าสุดที่เพิ่งจะเขียนไป คือเรื่อง ของสาวน้อยคนหนึ่ง ในหัวข้อ "ฉันมาเปิดซิงที่นี่" จริงๆ สะสมเรื่องราวของหนูคนนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่คิดจะเขียน วันนี้เลยขอลัดคิวเขียนเรื่องของคนอื่น ที่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเขียนสักเท่าไหร่ กระทั่งได้รับโทรศัพท์จากลูกค้ารายนี้เมื่อสักสิบนาทีที่ผ่านมานั่นแหละ

ถ้าใครเคยอ่านเรื่องราวของบล็อกฉันที่ผ่านๆ มาเกี่ยวกับพัทยาแล้วละก็ จะเห็นได้ว่าฉันเคยเขียนเรื่องสาเหตุของการมาอยู่เป็นคนบาปในเมืองบาปแห่งนี้ไปบ้างแล้ว สำหรับสาวๆ บาร์ทั้งหลาย ซึ่งจะนับๆ กับไป สาวๆ เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นแหล่งรายได้อย่างดีของฉันทีเดียว ในเมื่อเธอเหล่านั้นเป็นลูกค้า ฉันก็ควรจะวางตัว วางความรู้สึกให้ไม่ต้องไปคิดอะไรมากมายกับวิถีทาง หรือเส้นทางชีวิตของเธอๆ แต่บางทีฉันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน บางเรื่องเมื่อเราผ่านหู ผ่านตามากๆ เข้า จากที่คิดว่าไม่ควรจะรู้สึก มันก็ซึมเข้าไปเองได้เหมือนกัน อย่างเรื่องราวของเธอคนนี้ สาวชาวใต้ ผู้ซึ่งผิวไม่คล้ำคมเหมือนคนใต้ หากแต่หน้าตา และการแต่งแต้มที่ทำให้เธอดูสวย โดดเด่นจากบรรดาสาวๆ ที่อยู่แถวนี้มากโข รวมถึงฐานะที่เธอมี
เธอคนนี้ต่างจากผู้หญิงแถวนี้ทั้งท่าทาง ทั้งฐานะ ทั้งเหตุผลของการมาอยู่ที่นี่ แต่พฤติกรรม และการวางตัวของเธอกลับดูไม่ได้แตกต่าง ซ้ำยังแลดูน่ารังเกียจ และเลวร้ายยิ่งกว่าคนที่ด้อยกว่าเธอทุกๆ ด้านเต็มที ......

ฉันเองก็ย้ำเป็นรอบที่พันห้าร้อยสี่สิบสี่ครั้งแล้วกระมัง ว่าฉันไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ฉันคิดว่าตัวฉันนั้นดีในระดับหนึ่ง ปกติฉันไม่ใช่คนจะมาตั้งแง่รังเกียจรังงอนอะไรใครเขาได้ง่ายๆ ยิ่งการดูถูกคนฉันยิ่งไม่ใคร่จะทำ กับลูกค้าสาวสวยของฉันคนนี้ กลับทำให้ฉันเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ไม่ยากเลยสักนิด ใช่ว่าเธอจะทำตัวต่ำ หยาบคายกับฉัน เปล่าเลย เธอไม่เคยทำ มีแต่จะหยิบยื่นไมตรีให้เสมอมา พยายามเต็มที่ที่จะทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็น "เพื่อน" กับเธอ เหมือนกับที่ฉันยอมเป็น "เพื่อน" กับเพื่อนของเธอคนนี้อีกคน แต่คนเรามันต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันจริงๆ ยิ่งความต้องการพื้นฐาน หรือตัณหาของแต่ละคนนั้น ไม่มีวันจะเหมือนกันได้เลย


ฉันไม่เคยจะเข้าใจว่า ทำไม และไม่เข้าใจถึงความโลภ หรือความมักมากที่มีไม่สิ้นสุดกันแน่ กิเลศ หรือตัณหาที่มันนำพาชีวิตคนๆ หนึ่งก้าวมาไกลได้ขนาดนี้ หรือเพราะทั้งสองอย่างที่ผลักดันให้ "เธอ" มาสู่จุดๆ นี้ ปกติสาวๆ หรือผู้หญิงบริการแถวนี้ เขามักจะมีสาเหตุของการมาอยู่ที่นี่ มาขายตัว มาแลกเงินกับเรือนร่างของเธอด้วยสาเหตุหลักคือ ความขัดสนทางด้านการเงิน หรือสุดแล้วที่จะหาทางแก้ ทางสุดท้ายที่พวกเธอเลือกมา คือการต้องมาเป็นผู้หญิงบาร์ หรืออีกนัยหนึ่งคือมาขายบริการทางเพศที่พัทยานี่เอง

เงิน เหตุผลพื้นๆ ที่ใครๆ ก็เข้าใจ แต่กับเธอคนนี้ฉันไม่เคยจะเข้าใจเลยแม้สักครั้ง ปกติเมื่อผู้หญิงที่บ่ายหน้ามาพัทยา นอกจากจะเพื่อเงินแล้ว ก็ยังจะมีอีกหนึ่งเหตุผล คือ การมุ่งจะหาสามีชาวต่างชาติ เพื่อจะได้ยกระดับชีวิตตัวเองให้ดี มีฐานะขึ้น เพื่อจะหลุดพ้นจากความยากจน หรือหนี้สินประดามีทั้งหลาย แล้วไอ้การจะมีสามีเป็นตัวเป็นตน เป็นคนดีพอที่จะรับผิดชอบชีวิตได้เนี่ย ก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ บางคนมาแป๊บๆ ออกแขกไม่กี่ราย ก็ได้คนรับเลี้ยงแล้ว แต่หากบางคนแบจนเหนียงจะยาน ก็ยังไม่มีคนเอา อันนั้นก็มีให้เห็นหลายราย ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่ เมื่อมีใครเป็นตัวเป็นตนแล้ว บรรดากิ๊กหรือเบี้ยบ้ายรายทาง ดอกไม้ริมทางของพวกเจ้าหล่อน ก็จะโดนสลัดไป ยิ่งเมื่อใครถึงขั้นแต่งงาน แต่งการ จดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว อันนี้ก็ยิ่งจะเป็นการเพิ่มหลักประกันในชีวิตให้กับพวกเธอทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมักไม่มีใครยอมเสี่ยงกับการจะปล่อยหลักชีวิตของตนด้วยการทำตัวไม่ดี เรื่องนี้ฉันก็นับถือบรรดาเธอๆ เหล่านี้ไม่ได้ อย่างน้อยความซื่อสัตย์ก็ยังมีในหัวใจ คนเรานะ หากไม่มีการซื่อสัตย์ มันก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดียรัจฉานที่ตนเองดูแคลนเท่าไหร่นักหรอก (ความเห็นส่วนตัว ใครไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจ ปิดได้เลยจ๊ะ)

เหมือนกันกับสาวเจ้ารายนี้ ดูท่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ละมังที่ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกดูถูก เกิดความรังเกียจขึ้นมา ไม่อยากให้บริการเธอ แม้จะเป็นลูกค้าที่เงินหนักก็ตามที เธอคนนี้ ฐานะไม่ใช่ด้อย เพราะเป็นถึงเจ้าของกิจการบาร์ใหญ่โตริมหาดแห่งหนึ่ง มีสาวๆ ในสังกัดมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว เธออายุมากกว่าฉันไม่เท่าไหร่ แต่ท่าทีประหนึ่งนางแมงมุมทาลันทูร่า (สะกดถูกไหมเนี่ยฉัน) เธอมักจะพึงพอใจกับเด็กหนุ่มหน้าตาดี รุ่นเดียวกันหรือมากกว่าเธอมักจะไม่แล จริงๆ จะว่าไปแล้ว ฐานะอย่างเธอไม่จำเป็นต้องไปกับแขก แต่จะว่าอย่างไรได้ ในเมื่อความต้องการมันเรียกร้อง เธอจึงมักมีลูกค้าหนุ่มๆ อยู่ในสต็อกของเธอเสมอ คนแล้วคนเล่า หลายคนทำท่าจะจริงจังด้วยการขอแต่งงานกับเธอ แต่เธอดูเหมือนจะไม่หยุด ไม่พอ ประหนึ่งว่า ชีวิตนี้ของใช้ให้คุ้มค่า ขอเพียงไม่เป็นเอดส์ตายเสียก่อน ก็พอแล้ว

วันหนึ่ง เธอสร้างความประหลาดในให้กับใครๆ ด้วยการประกาศแต่งงานกับหนุ่มอังกฤษหน้าตาดีคนหนึ่ง กระทั่งฉันเองยังไม่คิดว่าเธอจะหยุดเรื่องกิจกรรมของเธอลงได้ แต่เธอทำไปแล้ว ฉันก็ถือว่าเป็นโชคดีของเธอละนะ ที่เจอคนจริงใจรักใคร และเธอเองก็พร้อมจะหยุดรักที่เขาด้วยเหมือนกัน แต่หลังการแต่งงานของเธอเพียงไม่กี่วัน เธอได้มาหาฉันพร้อมกับแจ้งความจำนงให้ส่งข้อความหาหนุ่มอเมริกันที่เธอรักจับจิตคนนั้น .....

วันนั้นฉันมองหน้าเธอ พร้อมบอกว่า "นึกว่าพี่บอกเลิกเขาไปแล้วเสียอีก" คำตอบที่เธอให้ฉันกลับทำให้ฉันสะอึก พร้อมความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมาทันที เธอบอกกับฉันว่า พี่ยังรักเขา และยังอยากได้เงินจากเขาอีกสักก้อน ....

นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเจอผู้หญิงที่ไม่ซื่อสัตย์กับสามีในลักษณะนี้ ไม่ใช่สามีที่แต่งกันมานานนับสิบปีจนเหม็นเบื่อกันด้วยซ้ำ แต่เป็นคนที่เพิ่งจะควงแขนเลี้ยงแต่งงานกันได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง เธอไม่ยอมไปอยู่ที่อังกฤษกับสามี ด้วยให้เหตุผลว่ายังเป็นห่วงกิจการร้านค้าที่เมืองไทย แต่สาเหตุจริงๆ ของเธอนั้นคือเรื่องชายอื่น หากเป็นเมื่อก่อนที่เธอยังไม่แต่งงาน ยังไม่จดทะเบียนกับใครเป็นตัวตน ฉันคงไม่มีเหตุผล ไม่มีความรู้สึกอะไรทำนองนี้กับเธอเท่าไหร่ อาจจะมีนึกค่อนในใจเรื่องการใช้ผู้ชายหลายคนของเธอก็เท่านั้น จะว่าฉันเป็นคนหัวบุราณอะไรก็ตามที แต่ผู้หญิงบาร์คนอื่นๆ ที่เขามีน้อยกว่าเธอยังดูดีกว่าเธอในแง่นี้เสียอีก

เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อๆ มา ล่าสุด ฉันทราบว่าเธอนัดกับทหารเรืออเมริกันคนนั้นที่ฮ่องกง ขณะที่ปล่อยให้สามีที่ถูกต้องตามกฏหมายของเธออยู่ที่อังกฤษตามลำพัง ฉันอึ้งแล้วอึ้งอีก พร้อมฉงนใจก็หลายที ทำไมคนเราความพอจึงไม่ปรากฏ ทำไม และทำไม แต่สุดท้าย อย่างฉันก็ทำได้แค่รู้สึกสมเพช แกมรังเกียจ กับคนประเภทนี้เท่านั้นเอง เพราะอย่างไรก็ดีเสีย มันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันที่ต้องยื่นจมูกไปสอด แค่รู้สึกเท่านั้นเอง

อย่างหนึ่งที่ฉันเชื่อ คือ คนเรามักจะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งที่ตนทำ กรรมเป็นผลของการกระทำ กรรมดี หรือเลว มันมักจะกลับสู่หาคนๆ นั้น แต่จะช้าจะเร็วก็เท่านั้น


แต่มานึกๆ ดูอีกทีแล้ว คนแบบเธอก็ช่างเหมาะกับเมืองนี้จริงๆ........

2 comments:

Anonymous said...

ต่อให้ตัวเองไม่ใช่คนดี........

การทำอย่างนี้ก็ถือว่า ไม่ซื่อสัตย์กับคนที่ร่วมสาบานจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปแล้ว...

ถ้าโสดว่าไปอย่าง คุณจะไปแบที่ไหนไม่มีใครว่า...

เห้อ ก็อย่างนี้แหละ .... แอนว่า มียิ่งกว่านี้อีกเยอะหนะ...ชีวิตใครชีวิตมัน เราก็ทำได้แค่ สงสารสามีของเค้าเท่านั้น... ว่าชีวิตนี้ไม่น่ามาผูกติดกับคนที่ยึดติดกับตัวเองเท่านั้น

Anonymous said...

ใครเนี่ย เรารู้จักรึเปล่าน้า อยากรู้จัง แต่ก็เนี่ยะแหล่ะ Sin city of Thailand