Saturday, October 02, 2004

City of Bars *~* เมืองบาป (1)

ฉันตั้งท่าจะ update มาหลายวัน นับแต่นึกได้ว่า อยากจะเขียนเรื่องอะไรคราวนี้ ถือว่าค่อนข้างจะแปลกสำหรับตัวฉัน เพราะปกติแล้วฉันไม่เคยจะนึกว่าจะต้องเขียนอะไร ถึงเวลาลงมือเขียนนั่นแหละ ฉันถึงจะนึกเรื่องและเขียนออกมาได้ แต่คราวนี้ถือว่าแปลกหน่อย เพราะฉะนั้นคงจะค่อนข้างยาวด้วยล่ะนะ เดิมที ฉันตั้งใจไว้นานแล้วล่ะว่าจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับสาวๆ เมืองพัทยา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เขียนสักที ตั้งท่าเงื้อๆ ง้าๆ มานานหลายเดือนวันนี้ สงสัยฤกษ์จะดี (ตอนที่เขียนอยู่นี้เป็นครั้งที่สองหลังจากที่ 3 หน้าที่เขียนไว้หายไปด้วยความเลินเล่อของตัวเอง) เอาเหอะ เขียนใหม่ก็ได้ (แต่เสียดายชะมัด)
งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ ว่าฉันจะเล่าอะไรเกี่ยวกับพัทยาบ้าง


ปกติแล้ว ถ้าหากถามถึงพัทยา คุณๆ จะนึกถึงอะไร ทะเล? สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย หรืออะไรทำนองนี้หรือเปล่า หากเป็นฉันเมื่อก่อนที่จะมาปักหลักอยู่แถวนี้ ความคิดของฉันก็ไม่ต่างจากนี่ไปเท่าไหร่นักหรอก ฉันนึกถึงหาดทราย สายลม ทะเล คลื่นลม ดาวที่พราวเต็มฟ้าในยามค่ำคืน จินตนาการคนเรามักไปไกลกว่าสิ่งที่เราคิดเสมอๆ แต่หากเมื่อมาประสบเข้าจริงๆ สิ่งที่ฉันคิด ไม่ใช่ว่ามันผิด เพียงแต่มันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง หากเป็นตอนนี้ ปัจจุบันนี้ ฉันอยากจะบอกว่า พัทยาไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติเลย ฉันร่ำๆ อยากจะบอกว่า มันเป็นสถานที่ใดที่หนึ่งในต่างประเทศที่ไม่ใช่ประเทศไทยเสียอีก ด้วยว่ามันกอปรไปด้วยสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ เสียจนฉันไม่คิดว่า ที่แห่งนี้มันจะเหมาะกับเมืองไทย เป็นเมืองแห่งสถานเริงรมย์โดยแท้เลยล่ะคุณ คุณๆ ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ที่นี่เหมือนกับฉันก็ได้ แค่มาเห็นมามีโอกาสได้เดินสำรวจแถวนี้ คงจะเห็นดีกับฉันเป็นแน่ ใจจริงฉันอยากพิสูจน์ด้วยภาพนะ แต่จนใจ blog เจ้ากรรมมีปัญหากับการโพสรูป ฉันเองก็ใช้ไม่ค่อยจะเป็นเท่าไหร่ มะงุมมะหงาหราอยู่นานกว่าจะโพสรูปพร้อมกับข้อความได้ แต่อนิจจาเจ้าโปรแกรมช่วยเสริมที่ใช้กับการโพสรูปใน blog นี้โดนลบหายเกลี้ยงเมื่อครั้งฉันต้องลงเครื่องใหม่ เนื่องจากมีคนซุกซนไปเที่ยวเวปอย่างว่ามากไปหน่อย ฉันเลยพลอยได้อานิสงส์กับเขาไปด้วย


เชื่อหรือไม่ว่า ในพื้นที่ของพัทยานี้ ไม่ว่าจะเป็นเหนือกลางใต้ หรือโดยเฉพาะใต้ค่อนๆ ไปหากลางแบบที่ฉันอยู่ทุกวันนี้จะเต็มไปด้วยบาร์เบียร์ ทุกแห่งทุกหนของพัทยา คุณลองไปเถอะ ไม่ว่าจะเป็นซอกเล็กซอยน้อย ถนนใหญ่หรือเล็ก มันเต็มไปด้วยบาร์เสียทั้งนั้นแหละ จะเดินไปไหน หรือจะขับมอไซด์ หรือรถยนต์ บาร์เบียร์มีให้คุณเห็นได้ทุกที่ เป็น city of bar จริงๆ เลยล่ะ ฉันถึงบอกว่า บางครั้งก็ลืมๆ เหมือนกันนะเนี่ยว่าตัวเองอยู่เมืองไทย ก็เพราะภาพที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติที่เดินกันขวักไขว่ หรือสัญจรด้วยพาหนะต่างๆ ก็ดี หรือจะเป็นอะไรอื่นๆ ที่ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะกับเมืองไทยเลยจริงๆ ก็ดี แต่สุดท้าย ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พัทยาก็คือส่วนหนึ่งของเมืองไทยอยู่ดี


ฉันจะเริ่มต้นที่ธุรกิจอันดับหนึ่งของพัทยา Bar Beer บาร์เบียร์ที่นี่ถือว่าเป็นที่นิยมกันมากจนถึงมากที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่เห็นแต่บาร์และบาร์กันขนาดนี้หรอกน่า จะเพราะรายได้ดี หาเงินง่าย ค่าใช้จ่ายน้อยหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ การทำธุรกิจบันเทิงแบบนี้เป็นที่นิยมกันมากมาย มีคนลงทุนกันทำมากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือเทศ ต่างก็เป็นเจ้าของกิจการประเภทนี้กันถ้วนหน้า แต่บาร์เบียร์ที่พัทยาเนี่ยไม่เหมือนที่อื่นๆ ของไทยเราหรอกนะ มันไม่ใช่เพียงบาร์เบียร์ธรรมดา แต่ในสายตาฉัน ฉันมองว่ามันเป็นแหล่งค้าประเวณีอีกรูปแบบหนึ่งต่างหาก ที่ฉันบอกว่าไม่เหมือนกับที่ไหน ๆเพราะบาร์เบียร์ที่นี่ จะมีสาวๆ หุ่นดี เซ็กซี่ หน้าตาดีบ้างไม่ดีบ้าง ทำหน้าที่ประจำที่บาร์คอยดูแลต้อนรับชาวต่างชาติที่มาเที่ยวกัน ส่วนใหญ่แล้วหน้าบาร์มักจะมีป้ายรับสมัครงานติดกันไว้ ว่า "รับสมัครสาวสวย หุ่นดี รายได้ดี เงินเดือน(อันนี้จะเขียนตัวเล็กๆ) 2,500 - 3,000 บาท" อ้าว ถ้ารายได้ดี แล้วเงินเดือน 2-3 พันบาทนี้นับว่าเป็นรายได้ที่ดีได้อย่างไร จริงๆ แล้วรายได้ของสาวๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากเงินเดือนหรอก แต่มาจากค่าตัวต่างหาก เพราะลำพังเงินเดือน 2-3 พันบาทนี้ แค่หักค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแต่ละเดือนก็แทบไม่เหลือแล้ว แล้วสาวๆ เหล่านี้จะเอาอะไรกินล่ะ ถ้าไม่มีรายได้จากการเอาตัวเข้าแลก ขณะที่บาร์ส่วนใหญ่มีรายได้จาก ค่าเครื่องดื่ม Drink และอีกส่วนหนึ่งมาจาก ค่าธรรมเนียมบาร์ (Bar Fine) ที่ได้จากสาวๆ ที่ฉันว่าๆ อยู่นี่แหละ ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากค่าเครื่องดื่มบ้าง ค่าออฟที่หักจากสาวๆ แต่ละคนบ้าง ค่าออฟ และค่าธรรมเนียมบาร์นี่แหละจะเป็นส่วนที่ฉันกำลังจะร่ายต่อจากนี้นี่แหละ


อย่างที่บอกไปแล้วว่า บาร์ส่วนใหญ่ในเขตพัทยา เขาจะมีรายได้หลายทาง แต่ดูเหมือนที่ได้กันเป็นกอบเป็นกำนอกเหนือจากค่าเครื่องดื่มก็คือ ค่าธรรมเนียมบาร์ ฉันจะเรียกสั้นๆ ตามสาวๆ แถวนี้เขาเรียกว่า "ค่าบาร์" แล้วกัน ค่าบาร์ ฉันเข้าใจว่า น่าจะเหมือนๆ กับค่าธรรมเนียมสถานที่ของสถานประเวณีอื่นๆ อย่างเช่นอาบอบนวด มีค่าชั่วโมง อะไรทำนองนั้นกระมัง สาวๆ แถวนี้ก็เช่นกัน นอกจากจะมีค่าตัวแล้ว ยังต้องมีค่าบาร์อีกต่างหาก เมื่อมีหนุ่มคนใด สบตาถูกชะตา จนอยากจะพากันไปเที่ยวค้างคืน หรือไปไหนต่อไหนกันตามสะดวกเขาแล้วละก็ หนุ่มคนนั้น ก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสถานที่ให้กับเจ้าของบาร์ หรือมาม่าซังที่ทำงานคุมสาวๆ อีกชั้นหนึ่งต่อไป คาดว่า คงจะพอนึกภาพกันออกบ้างแล้ว แต่ค่าบาร์ยังไม่หมดคำจำกัดความแค่นี้ แต่เหมือนยังเป็นค่าธรรมเนียมที่ยึดตัวสาวๆ ไว้ด้วย ใช่ว่าจะเป็นหนุ่มๆ ฝ่ายเดียวที่ต้องจ่ายค่าบาร์ให้กับสาวๆ แต่ตัวสาวเจ้าเองก็ต้องจ่ายด้วยเช่นกันในบางกรณี โดยมาก สาวๆ ที่ทำงานตามบาร์ส่วนใหญ่มักจะมีวันหยุดกันได้ไม่เกินเดือนละ 2 วัน หากนอกเหนือจากนั้น หรือหากอยากจะหยุดพักผ่อนหรือไปไหนๆ ก็ต้องจ่ายค่าบาร์ เพื่อเป็นการซื้อเวลาให้ตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็จะโดนหักเงินเดือน ซึ่งกรณีอย่างหลังนี้ร้ายแรงกว่าการจ่ายค่าบาร์เสียอีก ส่วนใหญ่ ค่าบาร์ของบาร์โดยมากแล้ว ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 200 - 250 บาท ต่อ 1 คืน เพราะฉะนั้นเห็นไหมเล่าว่า รายได้จากค่าบาร์จะมากขนาดไหน


ย้อนกลับมาเรื่องหนุ่มๆ สาวๆ กันอีกสักหน่อย ในเมื่อต้องเสียค่าบาร์กันแบบนี้แล้ว ถ้าเกิดว่า เขาถูกใจไปไหนต่อไหนกัน หรืออยู่ด้วยกันนานๆ เล่าจะทำอย่างไร มิต้องเสียค่าบาร์กันแย่ฤ แรกดูท่าก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ค่าบาร์เดือนหนึ่งๆ ของสาว 1 คน ไม่ต่ำกว่า 6 พันบาทไทย ไม่รวมค่าตัวที่ไปตกลงกันต่างหาก ค่าตัวนี้ไม่เกี่ยวกับบาร์ ของผู้หญิงล้วนๆ บางคนได้แขกยาว ค่าตัวก็สบายไป นั่นแหละอย่างหนึ่งถึงบอกว่า รายได้ส่วนใหญ่ของสาวๆ เขาจะได้กับค่าตัวกันมากกว่า ค่าตัวก็แล้วแต่เขาจะตกลง ถูกใจกันที่เท่าไหร่ วันละเท่าไหร่ก็ว่ากันไป บางคนได้แขกดี ใจป้ำ กระเป๋าหนัก อันนี้ก็ดีไป แต่บางคนเจอแขกขี้เหนียว ให้ราคาไม่เหมือนกับที่ตกลงกันแต่แรกเริ่ม อันนั้นก็ซวยไป เปลืองตัว เปลืองแรงกัน แต่ได้ค่าตอบแทนไม่คุ้ม ฉันเคยนั่งคุยกับสาวๆ พวกนี้เป็นนาน เรื่องที่เขาไปแขก เกือบทั้งหมดที่เคยถาม เขามักเต็มใจเล่าให้ฟังกันทั้งนั้น ส่วนเรื่องสาเหตุการมาทำงานพวกนี้ ฉันค่อยเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะ ตอนนี้เรากลับมาที่เรื่องค่าบาร์กันต่อเสียก่อนดีกว่า สาวๆ หลายคนเกิดความรักกับหนุ่มต่างชาติกันด้วยเหตุนี้ จากการที่อยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ หลาย ๆคู่ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน หลายคู่ตกหลุมแห่งแรงเสน่หา จนทำให้ติดต่อกันเรื่อยมา นับว่าเป็นแฟนกัน เป็นคู่รักกัน แต่สาวเจ้าก็ยังทำงานอยู่นะ เมื่อคู่รักของตนจะกลับมา จะทำอย่างไรดีเล่า ถึงจะไม่ต้องเสียค่าบาร์กันมากมายมหาศาลเช่นเดิม แบบนี้ก็มีทางออกนะเออ ใช่ว่าจะไม่มี เพราะปกติแล้ว พัทยาจะคึกคักที่สุดก็ ช่วง high seaon หรือหน้าทัวร์ ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายนเป็นต้นไป ก็เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่มักหนีหนาวกันมาช่วงนั้นพอดี แล้วแต่ละคนมา นี่ก็ใช่ว่าจะน้อยๆ วันนะ อย่างต่ำก็ 3 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะฉะนั้นหากว่า แฟนของสาวๆ เหล่านั้นกลับมา แล้วยังต้องเสียค่าบาร์กันแพงๆ อีก เห็นทีจะไม่ดีแน่ ก็มักจะมีสูตรสำเร็จในการเลี่ยงค่าธรรมเนียมบาร์กัน คือ การซื้อตัวออก !!! ด้วยเงินเพียง 3-4 พันบาท ก็เท่ากับว่า สาวคนนั้นลาออกจากการทำงานที่บาร์นั้นๆ แล้ว แถวนี้จะไม่มีการลาออกกัน ส่วนใหญ่จะออกจากงานต้องซื้อตัวออกเท่านั้น นัยว่า ถ้าลาออกเฉยๆ เมื่อออกไปแล้ว เกิดอยากจะกลับมาทำงานที่เดิม จะไม่ได้ แต่ทั้งนี้การซื้อตัวออกก็เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจของเจ้าของบาร์ และมาม่าซังเท่านั้นแล




เฮ้อ งงกับตัวเองจริงๆ ฉัน ใช้เวลาเขียนคราวนี้นานกว่าทุกครั้งที่เคย สับสนกับถ้อยความ สับสนกับความคิด เอาไว้ต่อตอนต่อไปแล้วกันนะเจ้าคะ





5 comments:

Anonymous said...

ซับซ้อนมากครับ
พอดีไม่ค่อย มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้ เลยพูดไม่ออกเลย

Anonymous said...

เป็นเรื่องเจาะลึกในมุมที่ไม่ค่อยมีคนรู้
ซึ่งเป็นคอนเท้นต์ที่เหมาะกับคนสมัยโพสต์โมเดิร์น
(สังเกตเดี๋ยวนี้คนโพสต์โมเดิร์นจะมีอะไรกันแปลกๆ
อย่าง academy fantasia บ้างล่ะ, the star บ้างล่ะ
ragnarok บ้างล่ะ ฯลฯ)
แถมเขียนได้น่าสนใจดีนะ
น่าจะเอาไปรวมเล่มล่ะ

ลค~

jengly said...

กรี๊ดดดด ทค เหมือนจะชมหนู แหะๆ
ดีใจค่ะ ปลื้มๆ แต่งานบทเนี้ยหนูว่าหนูน่าจะเขียนได้ดีกว่านี้
แต่ด้วยความที่มันติดๆ ขัดๆ เก็บไว้หลายวัน เขียนต่อๆ กัน
มันเลยขาดๆ เกินๆ อย่างไรไม่รู้
แต่เดี๋ยวมีบทสองต่อนะค๊า ^^

ming-ki said...

อย่างที่บอกไปตอนคุยกันนะคะ พจ ว่า สำนวนงวดนี้ดีมากเลย ในความคิดมิ้ง ค่อนข้างสลวย และที่สำคัญ เป็นลักษณะเล่าสู่กันฟังที่ดึงอารมณ์ผู้อ่านให้คล้อยตามได้ดีมาก ส่วนเรื่องของเนื้อหาสาระ มิ้งคงพูดอะไรไม่ได้มากเท่า พค นะคะ แต่ที่มิ้งชอบก็คือว่า เป็นการเล่าแบบเล่าให้รู้ ในเชิง value free โดยไม่ได้ใส่ทัศนคติหรือมุมมองเชิงศีลธรรมเหมือนที่นักวิชาการหลาย ๆ คน หรือนักวิจัยทั้งหลายชอบใส่ เลยได้อ่านและได้เห็นตามในแง่มุมที่เป็นธรรมพอสมควร

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับสำหรับบทความ